เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2012 เวลา 19.45 น.เสียงไชโยโห่ร้องกึกก้องจัตุรัส ปิอัซซา ซาน มาร์โก (Piazza San Marco) อันเลื่องชื่อกลางเมืองเวนิส (Venice) แคว้นเวเนโต (Veneto) ประเทศอิตาลี เมื่อ “Aperol Spritz! Happy Record!” การชนแก้วเพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ได้รับการบันทึกลงกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Record) ในฐานะ “การดื่มเฉลิมฉลอง Aperol Spritz ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” (Largest Aperol Spritz Toast)
วันนั้นผู้คนจำนวน 2,657 คนได้เข้ามามีส่วนร่วมในเจตนารมณ์ทางสังคมของ Aperol Spritz โดยทุกคนสวมเสื้อยืดสีส้ม อยู่กลางจตุรัสปิอัซซา ซาน มาร์โก และยืนในตำแหน่งที่สามารถแปรขบวนเป็นรูปร่างของแก้ว Aperol Spritz เพื่อ “การดื่มเฉลิมฉลอง Aperol Spritz ที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
ในเมืองไทยเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการจัดงานเปิดตัว “Aperol Spritz Pop-Up Bar” ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ ถ.สุรวงศ์ โดยตั้งอยู่หน้าโรงแรม พร้อมให้ลิ้มลองเป็นเวลา 6 เดือน นับว่าเหมาะเจาะลงตัวเพราะสภาพอากาศบ้านเรากำลังเข้าหน้าร้อนพอดี ขณะเดียวกันยังมีการจัดงานแนะนำ“อเปรอล สปริตซ์” ตามโรงแรมและร้านอาหารต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
“อเปรอล สปริตซ์” (Aperol Spritz) เป็นเครื่องดื่มสายเลือดอิตาเลียน กำเนิดจากพี่น้องตระกูลบาร์บิเอรี เปิดตัวครั้งแรกในปี 1919 ในงาน “ปาดัว อินเตอร์เนชันแนล แฟร์” (Padua International Fair) โดยมีเหล้าที่เป็นส่วนผสมหลักคือ “อะเปโรล” (Aperol) ดังนั้นควรทำความรู้จักกับเหล้าสีส้มสดใสตัวนี้สักหน่อย
“อะเปโรล” คิดค้นโดยบริษัท บาร์เบรี (Barbieri) ในเมืองปาดัว ทางตอนเหนือของอิตาลี เมื่อปี 1919 ปัจจุบันอยู่ในเครือคัมปารี กรุ๊ป (Campari Group)) จัดเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทบิทเทอร์ (Bitter) ชนิดเรียกน้ำย่อยหรืออะเปรีทีฟ (Apéritif ) แต่ก็สามารถเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มหลังอาหาร (Digestif) ได้ ส่วนผสมหลัก ๆ คือบิทเทอร์ส้ม,ดอกเจนติอานา (Gentiana) ที่มีสีม่วง,รูบาร์บ (Rhubarb) และซินโคนา (Cinchona) พืชสมุนไพรที่ใช้เปลือกใช้ทำยาควินิน เป็นต้น นอกนั้นยังมีผสมอื่นๆ อีกหลายอย่าง ในช่วงแรกที่ผลิตออกมาปรากฏว่าขายแทบไม่ได้ ต้องรอจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและขายได้
มีคนบอกว่า “อะเปโรล” (Aperol) เป็นพี่น้องกับ “คัมปารี” (Campari) บิทเทอร์อีกตัวหนึ่งในเครือเดียวกัน อาจจะมีบางส่วนคล้ายกัน อะเปโรลมีแอลกอฮอล์ 11 % ครึ่งหนึ่งของคัมปารี (ยกเว้นในเยอรมันีและฝรั่งเศสอะเปโรลมีแอลกอฮอล์ 15%) แต่มีปริมาณน้ำตาลเท่ากัน ขณะที่รสชาติอะเปโรลขมน้อยกว่า ทำให้มีรสชาติที่นุ่มกว่า นอกจากนั้นสีของคัมปารียังเข้มกว่าอะเปโรล โดยคัมปารีสีออกไปทางแดงเข้ม ส่วนอะเปโรลสีกระเดียดไปทางส้ม เป็นต้น
“อะเปโรล” (Aperol) เคยเป็นผู้สนับสนุนด้านกีฬาหลายรายการ เช่น ปี 2010 เคยเป็นสปอนเซอร์ Moto GP การแข่งขันมอเตอร์ไซด์รายการใหญ่ของโลก และเดือนมกราคม 2014 เป็นสปอนเซอร์หลักของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังในพรีเมียร์ ลีกของอังกฤษจนกระทั่งจบฤดูกาล 2016-17 เป็นต้น
“อะเปโรล” เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันของค็อกเทลที่ชื่อ “สปริตซ์” (Spritz) ในฐานะเป็นส่วนผสมหลักที่ถ้าขาดไปแล้วจะเรียกว่า “Spritz” ไม่ได้เด็ดขาด คำว่า Spritz มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า “การสาดกระเด็นของน้ำ” และการที่กำเนิดในเวเนเซียแหล่งผลิตโปรเซกโก (Prosecco) สปาร์คกลิ้งไวน์ชื่อดังของอิตาลี บางครั้งจะเรียกว่า “สปริตซ์ เวเนซิอาโน (Spritz Veneziano) หรือ “เวเนซิอาโน”(Veneziano) เพราะมีโปรเซกโกเป็นส่วนผสมนั่นเอง เดิมสปริตซ์จะเสิร์ฟในแก้วแบบโอลด์แฟชั่น (Lowball Glass) ปัจจุบันเริ่มนิยมใช้แก้วไวน์ และแก้วมาร์ตินี แต่ท่ทขาดได้คือการตกแต่งแก้วด้วยชิ้นส้ม
“สปริตซ์” (Spritz) เป็นค็อกเทลเกิดขึ้นในเวนิส เมืองหลักของแคว้นเวเนโต (Veneto) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลีอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรออสโตร-ฮังการี ประมาณทศวรรษที่ 1800 ตอนนั้นสปริตซ์ทำจากออสเตรียน สปริตเซอร์,ไวน์ขาว และโซดา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นอะเปโรลและโปรเซกโก ที่สำคัญชื่อของค็อกเทลถูกเรียกติดปากว่า “Aperol Spritz”
อย่างไรก็ตามส่วนผสมตามตำรับดั้งเดิมของ “สปริตซ์” ไม่มีหลักฐานยืนยันได้แน่นอนว่ามีอะไรบ้างนอกเหนือจากอะเปโรลตัวหลัก เพราะมีการลื่นไหลไปตามกาลเวลา บรรยากาศและสถานที่ แต่สูตรยอดนิยมน่าจะเป็น “อะเปโรล 3 ส่วน โปรเซกโก 2 ส่วน น้ำส้มเล็กน้อย ทั้งหมดเทลงบนน้ำแข็งในแก้ว ท็อปด้วยโซดา ตามด้วยชิ้นส้ม” เป็นต้น
“อะเปโรล สปริตซ์” เครื่องดื่มสีส้มสดใส ขมนิด หวานหน่อย ซาบซ่า สามารถดื่มได้ทุกเวลา ทุกโอกาส และทุกสถานที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าร้อนที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ช้านี้….