“บาโรโล”
หมู่บ้านอัญมณีสีม่วง
อิตาลี สำหรับคนไทยในเมืองไทย คงจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ร้านอาหารอิตาเลียนเกิดขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ด แซงหน้าอาหารยุโรปชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะอาหารฝรั่งเศสที่เคยครองพื้นที่มาก่อน
อย่างน้อยนึกไม่ออกก็พิซซ่าสารพัดหน้าที่แม้แต่คนอิตาลียังงง ไม่เคยพบเคยเห็นในแผ่นดินแม่ แต่ได้กินในเมืองไทย ถามว่าชอบมั้ย ส่วนใหญ่ไม่มีใครปฏิเสธ ยังไม่รวมประเภทส่งถึงประตูห้องนอน ที่ค่ามอเตอร์ไซด์นำส่งพอ ๆ กับค่าตัวพิซซ่า…
อิตาลี ในแวดวงการท่องเที่ยวสำหรับคนไทย เส้นทางหลัก ๆ ดูเหมือนจะมีอยู่เพียง… เวนิส มิลาน โรม ฟลอเรนซ์ หอเอนปิซา ..ประมาณนี้….
แต่ถ้าบอกว่า..บาโรโล….เชื่อว่าบริษัททัวร์ทั้งหลายคงส่ายหน้า ไม่กล้าจัดลงในโปรแกรมทัวร์ หลายบริษัทไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ตรงไหนของอิตาลี ซึ่งก็ไม่ว่ากันเพราะบาโรโล ไม่ใช่หรือไม่เหมาะสำหรับทัวร์ชอปปิ้งและชะโงกทัวร์…..
บาโรโล (Barolo) เป็นหมู่บ้านหรือคอมมูน (Comune / Municipality) เล็ก ๆ มีพื้นที่เพียง 5.6 ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองประมาณ 800 คนเท่านั้น อยู่ในจังหวัดคูเอโน (Cuneo) แคว้นเพียดมอนต์ หรือปิเอมอนเต (Piedmont / Piemonte) ซึ่งมีตูรินหรือโตริโน (Turin / Torino) เป็นเมืองหลวง เมืองนี้คนไทยวัยเลข 5 ขึ้นไปจะรู้จักกันดีในฐานะแหล่งผลิตรถยี่ห้อดัง ๆ อย่าง เฟียต (FIAT) แลนชิอา (Lancia) และ อัลฟา โรมีโอ (Alfa Romeo) หลายคนเคยใช้ ส่วนคนรุ่นใหม่แฟนฟุตบอลรู้จักในฐานะ ดินแดนของ 2 สโมสรดัง ยูเวนตุส และโตริโน
Barolo อยู่ห่างจากตัวเมือง Cuneo ทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร และอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Turin ประมาณ 50 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งนิยมพักที่ Turin ซึ่งนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งอิตาลี” แล้ว Turin ยังมีชอกโกแลตอร่อยมากชื่อ จิอันดูออตติ (Gianduiotti) เป็นยี่ห้อเก่าแก่ ทำมาตั้งแต่ปี 1865 และยังคงรูปร่างของก้อนชอกโกแลตมาจนถึงปัจจุบันคือรูปคล้าย ๆ เรือคว่ำ
Barolo มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะแหล่งผลิตไวน์แดง ภายใต้ชื่อ Barolo ทำจากองุ่นเนบบิโอโล (Nebbiolo) จัดเป็นหนึ่งใน “แผ่นดินทอง” หรือ “อัญมณีสีม่วง” ของวงการไวน์อิตาลีและของโลก เพราะไวน์ Barolo คุณภาพดีราคาค่อนข้างแพงถึงแพงมาก ดังนั้นผู้คนที่ไปเยือน Barolo มักจะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไวน์ อย่างอื่นแทบจะไม่มีเลย
อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปพักที่เมืองอัลบา (Alba) อยู่ห่างจาก Barolo ไปทางเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของเห็ดทรัฟเฟิล และทำธุรกิจซื้อขายเห็ดราคาแพงนี้ไปด้วย โดยเฉพาะทรัฟเฟิลขาว (White Truffle) ราคาแพงมาก และคนที่ทำสถิติไปซื้อด้วยราคาแพงที่สุดก็เป็นคนเอเชียใกล้ ๆ บ้านเรานี่เองคือนายสแตนลีย์ โฮ (Stanley Ho) เจ้าของกาสิโนในมาเก๊า จ่ายเงิน 330,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นค่าทรัฟเฟิลขาวก้อนเดียวขนาด 1.5 กิโลกรัม เมื่อเดือนธันวาคม 2007 ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2010 นายโฮก็ทำสถิติอีกด้วยการควักเงินเท่าเดิมซื้อทรัฟเฟิลขาวแต่ครั้งนี้เป็น 2 ก้อน ๆ หนึ่งหนักเกือบกิโล
กว่า 10 ปีที่แล้วซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการไปเหยียบ Barolo ตอนนั้นผมลงมาจากทางใต้ของออสเตรีย เข้ามาทางอีสานของอีตาลี ผ่านเมืองสำคัญ ๆ เช่น เวนิช โบโลญญา และมิลาน แล้วตรงมายัง Barolo แต่ครั้งล่าสุดนี้จากเมืองไทยผมบินตรงไปลงที่เมืองมิลาน (Milan) แล้วนั่งรถยนต์ไป Barolo ตามเส้นทางมอเตอร์เวย์สาย A7 เนื่องจากมีภารกิจที่ต้องแวะดูและชิมไวน์ตามเส้นทางที่ผ่าน พร้อมกับผู้บริหารบริษัท Texica Wine จำกัด ผู้นำเข้าบูติก ไวน์อิตาลีในบ้านเรา
อย่างที่บอกในตอนแรกหมู่บ้าน Barolo ขนาดเล็ก ๆ เดินเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ชมบ้านชมเมืองไม่ถึงชั่วโมงก็ทั่วถึง แต่ถ้าอยากจะดูไร่องุ่น ชมและชิมไวน์บริเวณรอบ ๆ ก็ต้องนั่งรถไป ผมเข้าไปในตัวเมืองประมาณ 1 ทุ่มเศษ ๆ เงียบเชียบมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวเย็น ผู้คนจึงอยู่แต่ในบ้าน รถราก็น้อยเนื่องจากถนนหนทางแคบ บางสายรถแทบสวนกันไม่ได้ ร้านอาหารที่เปิดดินเนอร์ก็มีไม่กี่ร้าน บางร้านจะสลับกันเปิด พวกบาร์เฮฮาเอะอะมะเทิ่งไม่มีเลย นี่แหละเป็นบรรยากาศที่ผมชอบมาก ทำให้เราสามารถดูโน่นดูนี่ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องหวาดระแวง ถ้าเป็นเมืองใหญ่ ๆ ไม่สามารถทำได้
กลางวันในตัวหมู่บ้าน Barolo ค่อยมีความคึกคักบ้าง เพราะมีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มพากันมาดูไร่องุ่น แล้วแวะมาซื้อของซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นไวน์ สปิริต และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับไวน์ มีร้านขายของที่ระลึก 2-3 ร้าน ร้านขายอุปกรณ์ครัวเรือน 2-3 ร้าน หลังจากนั้นก็เข้าไปชมปราสาท ฟัลเลตติ (Castello Falletti) ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่สะดุดตาที่สุดในตัวเมือง ปราสาทนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินสาธารณะกลางหมู่บ้าน อยู่ตรงส่วนไหนของหมู่บ้านก็สามารถมองเห็น ตัวปราสาทดั้งเดิมสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เพื่อป้องกันข้าศึกรุกราน แต่ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปในช่วงศตวรรษที่ 16 มีของเก่าให้ดูเหลือเล็กน้อย
ระเบียงบ้านตามสองข้างทาง จะมีการปลูกดอกไม้สีสันต่าง ๆ สวยงามมาก ดูแล้วไม่เบื่อ บางบ้านปลูกมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ใส่กระถางแขวนเอาไว้ ตอนแรกคิดว่าเป็นผลของดอกไม้หรือพืชอย่างอื่น ลองแอบเด็ดมาลูกหนึ่งปรากฏว่าใช่มะเขือเทศจริง ๆ เมืองหนาวจะได้เปรียบเมืองร้อนอย่างบ้านเรา ปลูกดอกไม้หรือพืชพรรณอะไรก็ดูสวยงามไปหมด แต่บ้านเราจะได้เปรียบตรงที่ดอกไม้กลิ่นหอมกว่าเยอะ อันนี้ถือเป็นเสน่ห์ที่สำคัญ
ในอาณาบริเวณปราสาทที่เรียกว่า ปิอาซซา ฟัลเลตติ (Piazza Falletti) มีพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาท และเรื่องราวของหมู่บ้าน Barolo มีร้านขายหนังสือ โบสถ์เล็ก ๆ ขณะที่ไกด์พาทัวร์ก็พูดอิตาเลียน ส่วนน้อยที่พูดภาษาอังกฤษ เมื่อขึ้นไปบนปราสาทจะมองเห็นทิวทัศน์รอบด้านงดงามมาก ส่วนใหญ่เป็นไร่องุ่นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แซมด้วยบ้านหรือปราสาทสีอิฐน้อยใหญ่ บางไร่ก็เป็นบ้านทรงสมัยใหม่ แต่สิ่งที่เขาอนุรักษ์ไว้อย่างดีคือแม้จะเป็นบ้านสมัยใหม่แต่ผสมผสานเค้าโครงของอาคารหรือปราสาทยุคดั้งเดิมเอาไว้อย่างแนบเนียน
ด้านหน้าของปราสาท Castello Falletti 2 ข้างทางนอกจากจะมีร้านขายไวน์หรืออีโนเตกา (Enotaca) หลายร้านและพิพิธภัณฑ์ไวน์ มีร้านอาหารเล็ก ๆ 4 – 5 ร้าน มื้อเย็นวันนั้นคนไม่เยอะเพราะอากาศเย็นมาก และผมก็ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติอาหารของบางร้านเล็ง ๆ เอาไว้ เพราะมีนัดดินเนอร์ที่ร้านอาหารพื้นเมืองชื่อออสเตเรีย “ลา ซาลิตา” (Osteria “La Salita”) ซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน ต้องนั่งรถออกไปประมาณ 15 นาที แต่อยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมที่พัก สามารถเดินลัดเลาะขึ้นเนินเขาไปโรงแรมได้
โรงแรมที่ผมพักชื่อ วิลลา เบคคาริส Hotel Villa Beccaris) เป็นบ้านเก่าแก่อายุน่าจะเป็นร้อยปีตั้งอยู่บนเนินเขา เดิมเป็นบ้านของขุนนาง ถูกนำมาดัดแปลงเป็นโรงแรมขนาดประมาณ 30 กว่าห้อง เฟอร์นิเจอร์หลายอย่างยังเป็นของเดิม ๆ บรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้าน มีสวนขนาดใหญ่ด้านหลัง ตอนเช้ามีหมอกลอยตัดเนินเขาสีเขียวงดงามมาก เมฆบางส่วนลอยเฉียดห้องอาหารสามารถสัมผัสได้ มีห้องใต้ดินแต่เห็นรูปเจ้าของติดอยู่ตรงเหนือบันไดทางลงเลยไม่กล้าลงไป เดี๋ยวจะถูกถาม….ชอบเหรอมาอยู่กับฉันมั้ย !!!…
ประมาณ 6 โมงเช้าผมออกไปวิ่งออกกำลังกายด้านนอก โดยวิ่งขึ้นไปบนเนินเขาหลังโรงแรมปรากฏว่าหมอกหนาทึบมาก มองเห็นทางข้างหน้าประมาณ 10 กว่าเมตรเท่านั้น สาเหตุที่แถวนี้มีหมอกเยอะ เนื่องจากแถวนี้มีเขาเยอะ คำว่าปิเอมอนเต (Piemonte) หรือเพียดมอนต์ (Piedmont) หมายถึงดินแดน “ณ เชิงเขา” เป็นแคว้นที่ไม่ติดทะเลเลย หมอกก็เกิดจากการมีภูเขามาก ๆ นี่เอง
ร้าน Osteria “La Salita” อยู่ที่มอนฟอร์เต ดัลบา (Monforte d’Alba) ในเขตลังเก (Langhe) เป็นเขตที่ถือเป็นหัวใจการผลิตไวน์ของแคว้นเพียดมอนต์ เป็นร้านระดับ 4 ดาว เจ้าของร้านชื่อมาร์โก ซัฟฟิริโอ (Marco Saffirio) เป็นเชฟเอง และช่วยภรรยาเสิร์ฟในช่วงที่ลูกค้าเยอะ ๆ โดยใช้บ้านของตัวเองเป็นร้าน ด้านหน้าเป็นสวนดูอบอุ่น เหมือนกลับมากินอาหารในบ้าน เมนูเป็นแบบพื้นเมือง โฮมเมด ง่าย ๆ เครื่องปรุงไม่เยอะแต่รสชาติดีมาก
จริง ๆ ร้านชื่อ “La Salita” ส่วนคำว่าออสเตเรีย (Osteria) เป็นคำที่บอกลักษณะของร้านอาหาร ถ้ามีคำนี้นำหน้าหมายความว่าเป็นร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูดั้งเดิม ง่าย ๆ พร้อมไวน์ เมนูไม่มาก บริการเป็นกันเอง อาจจะมีเพียงปาสต้า เนื้อย่าง และปลาย่าง ลูกค้าสามารถนั่งโต๊ะแชร์กันได้ บางร้านเป็นเมนูมื้อกลางวันราคาถูก บางร้านเสิร์ฟเฉพาะเครื่องดื่ม ลูกค้าสามารถนำอาหารเข้ามากินในร้านได้ บางร้านอาจมีดนตรีเบา ๆ ขณะที่บางร้านอนุญาตให้ลูกค้านำขวดไวน์หรือเหยือกมาเติมไวน์จากถังโอคของทางร้านได้ ร้านลักษณะนี้เรียกว่า Bottiglierie ซึ่งคนขายจะภูมิใจมากที่ได้นำเสนอไวน์ดีจากฝีมือของเขา
ในแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา (Emilia-Romagna) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแคว้นPiedmont มีร้าน Osteria เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี 3 ร้าน ชื่อ Osteria del Sole และ Osteria del Cappello อยู่ในเมืองโบโลญญา (Bologna) ซึ่งเมืองหลวงของแคว้นนี้ ส่วนอีกร้านชื่อ Osteria al Brindisi อยู่ในเมืองราเวนนา (Ravenna) ทางตะวันออกของโบโลญญา เริ่มกิจการมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14-15 โดยเฉพาะร้าน Osteria del Cappello มีหลักฐานว่าก่อตั้งในปี 1375 ท่านที่มีโอกาสไปโบโลญญาสมควรไปอย่างยิ่ง
กลับมาที่ร้าน La Salita เนื่องจากเป็นดินเนอร์มื้อแรกที่มาถึงบาโรโล ผมจึงอยากชิมเนื้อกระต่าย เพราะแว่นแคว้นนี้เมนูที่ทำจากกระต่ายป่าขึ้นชื่อมาก ปรากฏว่าวันนั้นลูกค้าเยอะของหมดก็เลยอด แต่ก็ได้กินเนื้อไก่แบบโฮมเมดของเขาอร่อยมาก แซนด์วิชของร้านนี้ก็ขึ้นชื่อ นักท่องเที่ยวชมและชิมไวน์ในไร่องุ่นนิยมสั่งเป็นมื้อด่วนตอนกลางวัน (Quick lunch) อย่างไรก็ตามร้านพวกนี้จะเปลี่ยนเมนูค่อนข้างบ่อย เพราะเมนูไม่มาก แต่ทำด้วยหัวจิตหัวใจ ชอบอะไรสั่งได้เลยอร่อยแน่นอน ที่สำคัญร้านพวกนี้ต้อง “กินเป็น”
อย่างไรก็ตามมื้อกลางวันก่อนอำลา Barolo เพื่อเดินทางต่อไปยังเวโรนา (Verona) ผมก็ได้ลิ้มรสเนื้อกระต่ายสมใจ ที่ร้านสไตล์ Osteria เช่นกัน อยู่บริเวณที่เรียกว่า Piazza Municipio ทางเดินที่จะไปปราสาท Castello Falletti ร้านทาสีเหลืองทั้งร้าน เป็นกระต่ายที่ตุ๋นง่าย ๆ กับมะเขือเทศและแครอท แต่อร่อยมาก เสิร์ฟมาประมาณครึ่งตัว กินกับไวน์บาโรโลสุดยอด เป็นบทพิสูจน์ว่า….ของดีของอร่อยไม่จำเป็นต้องเติมแต่งมาก บางร้านผัดปาสต้ากับมะเขือเทศและชีสแค่นี้ก็อร่อย
มีเวลาน้อยแต่อยากชมและชิมไวน์ให้ถึงแก่นแท้ของ Barolo ขอแนะนำให้ไปที่ไร่ มาร์เคซี ดิ บาโรโล (Marchesi di Barolo) จากปราสาท Castello Falletti หรือกลางหมู่บ้านบาโรโลเดินมาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น ที่แนะนำไร่นี้เพราะเขาเป็นต้นกำเนิดของการผลิตไวน์ Barolo ที่สำคัญเจ้าของน่ารักมากชอบเมืองไทยและมาเมืองไทยหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว หรือจะลองชิมในเมืองไทยก่อนก็ได้มีขายหลายรุ่น
มาร์เคซี ดิ บาโรโล (Marchesi di Barolo) ก่อตั้งในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันบริหารโดยตระกูล “Abbona” เป็นตัวจริง เสียงจริง ในการบุกเบิกไวน์ Baroloและยังคงดำเนินกิจการแบบครอบครัว พร้อมแนวทางเดิมคือผลิตไวน์ตามกรรมวิธีแบบดั้งเดิม ปราสาท Marchesi Falletti di Barolo สไตล์ Renaissance ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางไร่องุ่น ขึ้นไปชั้นบน ๆ สามารถมองเห็นใจกลางหมู่บ้าน Barolo ได้ชัดเจน ไวน์ที่นี่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย ในเซลลาร์ยังมีไวน์วินเทจเก่า ๆ เก็บอยู่กว่า 40,000 ขวด วินเทจเก่าสุดคือ 1859 อย่าลืมขอเยี่ยมชมเป็นขวัญตา เพราะวินเทจขนาดนี้เขาคงไม่ให้ชิม !!!!
ไป “บาโรโล” ต้องเตรียมใจให้ดี…ไม่เช่นนั้นท่านจะตกหลัมรักและไม่อยากกลับ…!!!