“Baileys Irish Cream is an Irish whiskey and cream based liqueur, made by Gilbeys of Ireland. The trademark is currently owned byDiageo. It has a declared alcohol content of 17% alcohol by volume…..”
คำอธิบายเบื้องต้นของ “Baileys” ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยลิ้มรสแล้วบอกว่าหวาน มัน เลี่ยน …
นอกจากกินเนสส์ สเตาท์ (Guinness Stout) สุดยอดครีมเบียร์สีดำสนิทแล้ว เครื่องดื่มอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นไอริชอย่างเต็มตัว ก็คือ “Baileys” ครีม ลิคเคอร์ที่ยากจะหาชาติใดทำได้เสมอเหมือน
“เบลีย์ส” เป็นลิคเคอร์ (Liqueur) ที่มียอดขายเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มีขายทั่วโลกกว่า 130 ประเทศ คิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ของมวลรวมยอดขายอาหารและเครื่องดื่มของประเทศไอร์แลนด์ นำเงินเข้าไอร์แลนด์ปีละมหาศาล
Baileys Irish Cream เกิดจากการสร้างสรรค์ของ Gilbeys of Ireland ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ International Distillers & Vintners ที่พยายามเสาะแสวงหาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก มีเรื่องเล่าว่าแรกเริ่มเดิมทีชื่อ Baileys เขียนแบบนี้ Bailey’s มีเครื่องหมาย ‘ ด้วย แต่เมื่อไปจดทะเบียน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เขียนเป็นแบบนี้ Baileys คนที่ไปจดทะเบียนอาจจะดูผ่าน ๆ ไม่ทันสังเกต พอกลับมาถึงบริษัทจึงได้รู้ถ้าเป็นบ้านเราก็อาจจะบอกว่า…เอาก็เอาว่ะ !!! ..ประมาณนั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่เข้าทำนอง..เอาก็เอาว่ะ….ก็คือ Baileys เป็นเครื่องดื่มที่อาจจะเรียกได้ว่า เกิดจากความมั่นใจของผู้ผลิตอย่างแท้จริง เพราะคิดค้นสูตรขึ้นมาแล้วก็วางขายเลย แทบจะไม่ต้องมีการทดลองตลาดเหมือนอย่างอื่น โจทย์หลักก็คือ…ทำอย่างไรจะทำให้ครีมผสมกับแอลกอฮอล์อย่างลงตัว สุดท้าย Baileys ก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณคนไอริช
โครงการเริ่มต้นในปี 1971 และแนะนำตัวให้นักดื่มได้ลิ้มรสในปี 1974 พร้อมหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ไอร์แลนด์ ในฐานะ Irish cream เจ้าแรกในท้องตลาด ปัจจุบันบริหารโดยบริษัท R. A. Bailey & Co. แห่งเมืองดับลิน (Dublin) และอยู่ในอาณาจักรของบริษัท ดีอาจิโอ (Diageo) ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หลังจากนั้น “Baileys” ก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ปี 2003 บริษัท Bailey & Co ปล่อย Baileys Glide เพื่อชิมลางตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มหรือ Alcopop ปรากฏว่าอยู่ได้ประมาณ 3 ปี 2006 ก็เลิกผลิต ขณะที่ Mint chocolate และ Crème caramel ที่มีแอลกอฮอล์ 17 % วางตลาดในปี 2005 ไปได้ดี โดยเริ่มวางขายเฉพาะในสนามบินกรุงลอนดอนเท่านั้น อีก 1ปีต่อมาจึงขยายตลาดทั่วไปทั้ง สหราชอาณาจักร สหรัฐ ออสเตรเลีย และแคนาดา
ปี 2009 เปิดตัว Baileys Gold วางขายตามในสนามบินในยุโรปแทบทุกแห่ง และเน้นตลาดญี่ปุ่นด้วย ปี 2011 ก็เปิดตัว Baileys Biscotti ซึ่งมีกลิ่นหอมขนมปังบิสคอตติของอิตาลี และปี 2013 เปิดตัว Baileys Chocolat Luxe ที่ผสมผสาน Baileys กับชอกโกแลตคุณภาพดีจากเบลเยี่ยมอย่างลงตัว ปีเดียวกันก็ส่ง Baileys Vanilla-Cinnamon ไปลุยตลาดสหรัฐ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งของความสำเร็จก็คือผู้บริโภค ที่ต้องมีความมั่นใจและเชื่อมั่นสูงเช่นเดียวกัน เพราะปกติคนไอริชจะดื่มเบียร์หรือวิสกี้ที่พวกเขาเป็นกระบี่มือหนึ่งในการกลั่นเหล้าไม่แพ้ชาติใดในโลก การจะเปลี่ยนพฤติกรรมมาดื่มแอลกอฮอล์ผสมครีมนม หวาน ๆ เลี่ยน ๆ มัน ๆ เป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างลำบาก แต่ใครจะรู้ว่าประมาณ 10 ปีเท่านั้น Baileys กลายเป็น Cream Liqueur ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งไม่ใช่เฉพาะคนไอริช แต่แทบจะเรียกได้ว่าเกือบทั่วโลก บาร์ไหนไม่มี Baileys ตั้งอยู่บนชั้นถือว่าเชยแหลก ผู้จัดการบาร์ต้องไปผูกคอตาย
ประการสำคัญ Baileys เป็น Liqueur เจ้าแรกในโลกที่สามารถนำครีมมาผสมผสานกับแอลกอฮอล์ได้อย่างลงตัว ปกติครีมถ้าไม่ใส่สารกันบูดจะเน่าเสียง่าย แต่เมื่อนำมาผสมกับวิสกี้ กลายเป็นว่าแอลกอฮอล์คือสารกันบูดอย่างดี แถมยังอร่อยและแอลกอฮอล์ไม่สูง เพียง 17 % เท่านั้น
วัตถุดิบสำคัญอย่างแอลกอฮอล์ ครีม รวมทั้งไอริช วิสกี้ มาจากผู้ผลิตต่าง ๆ ก่อนจะนำมาสู่กรรมวิธีเติมโน่น แต่งนี่ โดยปิดเป็นความลับ รวมทั้งส่วนผสมอย่างเฮิร์บต่าง ๆ และน้ำตาล ก็ไม่มีใครรู้ส่วนผสมที่แน่นอน รู้แต่ว่ามีแน่ ๆ นอกจากครีมแล้วอาจจะมีอย่างอื่นเป็นส่วนผสมด้วย เช่น กาแฟ ช็อกโกแลต วานิลลา คาราเมล และน้ำตาล และเนื่องจากไม่มีการใส่สารกันบูดดังกล่าว ทำให้ต้องดื่มในช่วงไม่เกิน 24 เดือนหลังการผลิต หลังจากนั้นคุณภาพจะเริ่มลดลง และต้องเก็บในอุณหภูมิระหว่าง 0-25 องศาเซลเซียส หรือ 32-77 องศาฟาเรนไฮท์
แต่สิ่งที่ถือเป็นหัวใจของ Irish Cream Liqueurs ก็คือ “ครีม” ซึ่งเป็นผลผลิตจากน้ำนมวัว จะต้องคัดเลือกจากแม่วัวที่ให้น้ำนมคุณภาพเยี่ยม โดยจะมาจากโรงผลิตนมชื่อกลานเบีย (Glanbia) ในเขตคาวาน เคาน์ตี (County Cavan) ซึ่งส่งครีมให้กับ Baileys มากว่า 30 ปี ว่ากันว่าในแต่ละปีกว่า 4,000,000 ลิตรของไอริชครีมจะใช้ผลิต Baileys คิดเป็น 4.3 % ของผลิตภัณฑ์นมทั้งหมดของประเทศไอร์แลนด์
Baileys รวมทั้ง Irish Cream Liqueur ทั่วไปสามารถดื่มเปล่า ๆ ดื่มกับน้ำแข็ง หรือใช้เป็นส่วนผสมค็อกเทลได้หลากหลายสูตร หรืออาจจะเติมในกาแฟก็ได้ ผสมกับฮอร์ลิกส์ (Horlicks) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มจากมอลท์สกัดก็อร่อยดี ขณะที่หลายคนนิยมผสมกับน้ำผลไม้ เช่น เลมอน หรือ มะนาว เพื่อทำให้รสชาติของครีมกลมกล่อมขึ้น เป็นต้น เรื่องความชอบในการดื่มนี้ เป็นรสนิยมส่วนตัว ไม่มีใครผิดใครถูก นอกจากนั้น Baileys ยังใช้เป็นส่วนผสมของขนมหวานหลายชนิด
สำหรับคนที่ชอบค็อกเทลประเภทร้อนแรง แน่นอนต้องรู้จัก “บี 52” (B52) หรือ “B-52” หรือ “Bifi” เป็นเครื่องดื่มในหมดเหล้าร้อน (Hot Drink) สมัยก่อนนิยมดื่มในช่วงหน้าหนาว ปัจจุบันดื่มกันทั่วไป ตั้งชื่อตามเครื่องบิน บี-52 สตราโตฟอสเตรส (B-52 Stratofortress) เป็นเครื่องบินโบอิ้งระเบิดขนาดหนัก 8 เครื่องยนต์ ติดหัวรบนิวเคลียร์ ของกองทัพสหรัฐที่ใช้ในสงครามเวียดนาม มีอานุภาพสูง เปรียบกับค็อกเทลบี 52 ที่ต้องใช้หลอดดูดเพื่อให้ค็อกเทลไประเบิดในท้อง
ส่วนผสมสำคัญของ B 52 คือ Kahlua,Baileys,Triple Sec ในอัตรา 1/3 เท่ากัน ถ้าเป็น B53 เปลี่ยน Triple Sec เป็น Vodka และถ้าเปลี่ยนจาก Triple Sec หรือ Vodka เป็น Tequila จะเรียกว่า B 54 เป็นต้น จะเห็นว่า Baileys เป็นส่วนผสมหลักเสมอ ลักษณะโดยรวมของเครื่องดื่ม B 52 คือทำเป็นชั้น ๆ รวม 3 ชั้น ล่างสุดคือ Kahlua ชั้นกลางคือ Baileys และบนสุดคือ Triple Sec ใส่แก้วใสขนาดเล็กหรือแก้วชอต (Shot) ก่อนจะดื่มก็จุดไฟแล้วใช้หลอดดูดครั้งเดียวหมดแก้ว
ต้นกำเนิดที่แท้จริงของ B 52 ไม่มีการยืนยันว่าเกิดขึ้นที่ใดเป็นแห่งแรก บ้างก็ว่าเกิดครั้งแรกที่ภัตตาคาร Alice’s ในมาลิบู (Malibu) แคลิฟอร์เนีย ขณะที่บางตำราบอกว่าเกิดที่ Keg Steakhouse ร้านสเต็กชื่อดังในเมืองคัลการี (Calgari) ประเทศแคนาดาประมาณปี 1977 เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีค็อกเทลยอดนิยมที่มีผสมของ Baileys เช่นไอริช คาร์บอมบ์ (Irish Car Bomb) ซึ่งเป็นเบียร์ ค็อกเทล มีชื่อเรียกหลายชื่อคือ Car Bomb,Belfast Carbomb,IRA Car Bomb หรือ Peacemaker ที่มีส่วนผสมของ Guinness Stout,Jameson และ Baileys ตั้งชื่อตามการวางระเบิดรถยนต์ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมีแกนนำคือขบวนการ IRA ขณะที่ โบว์ จ๊อบ (Blow Job) มีส่วนผสมของ Baileys,Kahlúa และ Amaretto ตกแต่งด้านบนด้วย Whip Cream เป็นต้น
คนไอริชเคยภาคภูมิใจที่พลเมืองของเขาคว้ารางวัล โนเบล ถึง 4 คนฉันใด Baileys ก็น่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่พวกเขายืดอกคุยกับชาวโลกได้อย่างไม่อาย…!!