เมื่อกลางปี 2560 มีข่าวเรื่องนักโบราณคดีอิสราเอลขุดค้นบริเวณใกล้เมืองรามลา (Ramla) ที่เคยพบเครื่องมือหินและซากดึกดำบรรพ์สมัยหินเก่ามาแล้ว เมื่อขุดพื้นที่เพื่อตัดเป็นถนนเส้นใหม่ก็พบขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับ ๆ ร้อยใบ เช่น จิน ไวน์ เบียร์ และอื่นๆ
สันนิษฐานกันว่าขวดดังกล่าวเป็นของกองกำลังอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทิ้งไว้ โดยทหารอังกฤษที่ตั้งค่ายอยู่บริเวณดังกล่าวดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ระหว่างปฏิบัติภารกิจเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็มในวันคริสต์มาส ปี 1917 นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 101 ปีพอดี ทุกอย่างได้รับการขุดและนำขึ้นมาศึกษาอย่างละเอียดและระมัดระวังโดยนักวิทยาศาสตร์จากสำนักโบราณคดีอิสราเอล
หนึ่งในจำนวนขวดดังกล่าวก็มีขวดวิสกี้ ยี่ห้อ “เดวาร์”(Dewar’s) รวมอยู่ด้วยหลายขวด เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเดวาร์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวิสกี้ที่เก่าแก่และเป็นระดับตำนานของโลก หลังจากก่อตั้งมาเมื่อปี 1898 โดยพี่น้องตระกูลเดวาร์ และได้รับรางวัลต่าง ๆ มาแล้วกว่า 500 รางวัล ปัจจุบันมีโรงกลั่น 5 แห่งคือ Aberfeldy, Aultmore,Craigellachie, Macduff และ Royal Brackla
“เดวาร์” เข้ามาเมืองไทยกว่าครึ่งร้อยปี เดิมเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกจาก เบลนเดต วิสกี้ (Blended whisky) คุณภาพเยี่ยมและรูปแบบการโฆษณาที่แปลกใหม่ตราตรึงใจ ปัจจุบันเป็นผู้ผลิต เบลนเดต วิสกี้อันดับที่ 5 ของโลก และเป็นผู้จัดจำหน่าย สกอตช์วิสกี้ รายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ก่อนที่จะขยายอาณาจักรเข้ามาในแวดวงซิงเกิ้ล มอลต์ จนโด่งดังไม่แพ้กัน
จำได้ว่าเมื่อประมาณปี 2553 ผมเคยชิมเดวาร์หลายรุ่นกับนายมัลคอล์ม เมอร์เรย์ แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์ ของเดวาร์ ซึ่งตอนนั้นก็ยังชิมเบลนเดด วิสกี้กัน เพราะตลาดเมืองไทยเป็นเบลนเดด ขณะนั้นซิงเกิ้ล มอลต์ยังอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ
ท่านที่ไปตามบาร์ต่าง ๆ ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและสก็อตแลนด์ ลองสังเกตกัน เวลาสั่ง Dewar’s บรรดาบาร์จะออกเสียงกระเดียดไปทาง “ดยัวส์” ไม่ออกเสียงเป็น “เดวาร์” ชัดเจนอย่างที่เราออกเสียงกัน…!!!
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจากการเปิดตัวพรีเมียม วิสกี้ แบรนด์ “เดวาร์” (Dewar’s) ในเมืองไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา วันนี้ บริษัท บาคาร์ดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ก็ได้เปิดตัวพรีเมียม ซิงเกิ้ล มอลต์ 3 แบรนด์ ดังของโลกภายใต้ชายคา John Dewar & Sons ดังนี้
“อเบอร์เฟลดี 12 ปี” (Aberfeldy 12 Year Old) ซิงเกิ้ล มอลต์ ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1998 ในเขตไฮจ์แลนด์ (Highland Single Malt Scotch Whisky) โดยโรงกลั่น Aberfeldy Distillery ตั้งอยู่ที่เมืองเพิร์ธเชียร์ (Perthshire) ทางตอนใต้ของ ไฮแลนด์ ขณะที่อเบอร์เฟลดี 12 ปีได้รับการขนานนามว่าเป็น “The Golden Dram” จากแหล่งน้ำที่ใช้ผลิตสินค้าอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุทองคำที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศสกอตแลนด์ แคแลคเตอร์หลัก ๆ ของตัวนี้คือ จันทน์เทศ แอปเปิ้ล เมลอน และน้ำผึ้ง
“อัลท์มอร์ 12 ปี” (Aultmore 12 Year Old) ซิงเกิ้ล มอลต์ ที่กำเนิดในปี 1897 หรือเมื่อ 121 ปีที่แล้ว ณ ดินแดนที่ถือเป็นประวัติศาสตร์การทำวิสกี้ของของประเทศสก็อตแลนด์คือเขตสเปรย์ไซด์ (Speyside Single Malt Scotch Whisky) ความพิเศษของตัวนี้คือการกลั่นจากแหล่งน้ำลึกลับที่ปกคลุมด้วยหมอกที่เรียกว่า Foggie Moss ทำให้มีรสสัมผัสของสมุนไพรที่โดดเด่น โดย Aultmore รุ่นต่าง ๆ ถูกแนะนำสู่ท้องตลาดในปี 2014 แคแลคเตอร์หลัก ๆ ของรุ่น 12 ปีนี้คือวานิลลา แพร์ แอปเปิ้ล และคัสตาร์ด ออกหวานนิด ๆ โดยแทบไม่มีกลิ่นควันไฟเลย
“เครกเกลราชี 13 ปี” (Craigellachie 13 Year Old) ซิงเกิ้ล มอลต์ ที่ถือกำเนิดในปี 1891 ด้วยวิสัยทัศน์การผลิตที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก หยินและหยาง เพื่อสร้างสมดุลในแบบฉบับการผลิตแบบดั้งเดิม และเทคโนโลยีปัจจุบัน อันทำให้สินค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Craigellachie รุ่นต่าง ๆ ถูกแนะนำสู่ท้องตลาดในปี 2014 เป็นโรงกลั่นที่มีลักษณะ “Meaty character” แคแลคเตอร์หลัก ๆ ของรุ่น 13 ปีนี้คือมีกลิ่นและรสชาติของ สับปะรด มะม่วงสุก ควันไฟ กล่องไม้ขีด และเนื้อย่าง
งานนี้เป็นการมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกของ จอร์จี เบลล์ (Georgie Bell) ในฐานะโกลบอล แบรนด์ แอมบาสเดอร์ ของ John Dewar & Sons เพื่อร่วมสร้างสรรค์คอร์สอาหารมื้อพิเศษ กับ เชฟมาเรียน บารีเน็ก (Marian Barenek) แห่งร้าน Marian Urban Gastro Bar ซอยทองหล่อ เป็นการจับคู่อาหารสไตล์อังกฤษกับซิงเกิ้ล มอลต์ทั้ง 3 ตัวดังกล่าว ลองมาดูว่าเขาเสิร์ฟอะไร กับอะไรบ้าง ?
เริ่มจากเครื่องดื่มต้อนรับ (Welcome Drink) เป็นวิสกี้ ค็อกเทล มีใช้เดวาร์เป็นหลักตามด้วยเบอร์รี ลิเคียวร์และอื่น ๆ เสิร์ฟกับ ไข่สกอตซ์ (Scotch Eggs) ซึ่งเป็นไข่ต้มปอกเปลือกแล้วนำมาพอกด้วยหมูแล้วนำไปทอด
ตามด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย Poached Pear with Cinnamon & Red Wine ลูกแพร์ตุ๋นไวน์แดงกับอบเชยและวานิลลา รสชาติหวานละมุนหอมกรุ่น ที่จับคู่กับ “อเบอร์เฟลดี 12 ปี” (Aberfeldy12 Year Old) ที่หอม น้ำผึ้งและช็อกโกแลตได้อย่างลงตัว
ขณะที่เมนคอร์ส Marian’s Barbecue Pork Ribs ซี่โครงบาร์บีคิว เนื้อนุ่มเนียน จับคู่กับ “อัลท์มอร์ 12 ปี” (Aultmore 12 Year Old) ที่ให้สัมผัสนุ่มนวล สดชื่น อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร เข้ากันอย่างดีเช่นกัน
ปิดท้ายเมนูของหวาน Chocolate Truffle with Cherry Brandy จับคู่กับ “เครกเกลราชี 13 ปี” (Craigellachie 13 Year Old) เพื่อรสสัมผัสให้ประทับใจอยู่ในความทรงจำ
“จอร์จี เบลล์” กล่าวว่าสำหรับในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย เราสามารถเพลิดเพลินกับ สกอตช์ วิสกี้ ได้ในรูปแบบของ High ball เย็นเฉียบที่ให้ความสดชื่น โดยเฉพาะ “อัลท์มอร์ 12 ปี” (Aultmore 12 Year Old) ที่เข้ากับความเผ็ดร้อนของอาหารไทยและอาหารทะเลได้อย่างดี และสำหรับเธอแล้วการได้ดื่มวิสกี้เป็นเรื่องของการระลึกถึงความทรงจำอันน่าประทับใจ ถึงผู้คนและสถานที่ที่เธอได้สัมผัสและประสบการณ์อันงดงามที่ตราตรึง แน่นอนครั้งต่อไปที่ดื่ม “อัลท์มอร์ 12 ปี” เธอก็จะรำลึกถึงยามบ่ายในกรุงเทพฯกับอาหารมื้อนี้ และบุคคลพิเศษทุกๆ คน