“ลอนดอน ดราย จิน” (London Dry Gin) ชื่อนี้ผู้ที่อยู่นอกวงการเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นจิน (Gin) ที่ผลิตในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเท่านั้น จริง ๆ ก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะเป็นจินสไตล์อังกฤษโดยเฉพาะ มีต้นกำเนิดในกรุงลอนดอน การผลิตมีการเติมพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในขณะที่กลั่นครั้งที่ 2-3 นิยมในอังกฤษและชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ รวมทั้งสหรัฐและสเปน
ดังนั้นจึงพึงเข้าใจว่าลอนดอน ดราย จิน ไม่ได้มาจากเมืองลอนดอนเท่านั้นที่อื่น ๆ ก็สามารถทำได้ ขอให้ผลิตตามแบบหรือสไตล์ London Dry Gin เป็นใช้ได้ โดยลักษณะเด่นอยู่ที่ความหลากหลายของรสหวานและหอมกรุ่น มีข้อกำหนดในการผลิตหลายอย่าง เช่น ในกระบวนการสุดท้ายห้ามเติมความหวานเกิน 0.1 กรัมต่อลิตร,ห้ามเติมหรือตกแต่งด้วยสีใด ๆ และห้ามเติมส่วนผสมใด ๆ นอกจากน้ำ เป็นต้น ขณะที่ข้อกำหนดของสหภาพยุโรปหรืออียู (EU) กำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ของลอนดอน ดราย จิน อยู่ที่ 37.5% เป็นต้น
จุดกำเนิดของลอนดอน ดราย จิน เริ่มในช่วงทศวรรษ 1720 ทั้งการผลิต และการขายจินในอังกฤษเจริญรุ่งเรืองมาก บ้านเรือนกว่าครึ่งของกรุงลอนดอนถูกใช้เพื่อการผลิตและขายจิน ศตวรรษที่ 18 เริ่มใช้เทคโนโลยีมากขึ้น มีการกลั่นด้วยหม้อทองแดง (Pot stills) เหมือนการกลั่นวิสกี้ และบรั่นดี เป็นครั้งแรก ก่อนจะค้นพบการกลั่นแบบต่อเนื่อง (Column Still หรือ Continuous still, Patent still และ Coffey still) ในปี 1832 ที่สำคัญเป็นการจุดประกายให้การผลิตจินสไตล์ “ลอนดอน ดราย” (London dry) ถูกพัฒนาขึ้นมาในปลายศตวรรษที่ 19 จนเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน
หนึ่งในลอนดอน ดราย จิน ระดับคุณภาพพรีเมียม ต้องมีชื่อของ “แทนกาเรย์” (Tanqueray) อย่างแน่นอนในฐานะจินยอดนิยมของโลก (The world’s Favourite Gins) จากการที่ใช้วัตถุดิบระดับพรีเมียม โดยเฉพาะธัญพืชที่เป็นวัตถุดิบหลัก และเป็น 1 ใน 16 สินค้า “Strategic Brands” ของบริษัท ดีอาจีโอ (Diageo PLC) ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับโลก
กระบวนการกลั่น Tanqueray คร่าว ๆ คือกลั่นส่วนที่เป็นข้าว 2 ครั้งจากนั้นเติมธัญพืชอื่น ๆ ในช่วงการกลั่นครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามสูตรเด็ดเคล็ดลับพวกนี้ถูกปิดเป็นความลับ ส่วนใหญ่จะรู้เพียง 4 อย่างคือ Juniper,Coriander,Angelica root และ Liquorice นอกนั้นแทบไม่มีใครรู้เลยว่ามีการผสมผสานอะไรลงไปบ้าง
Tanqueray ก่อตั้งในปี 1830 โดยชาร์ล แทนกาเรย์ (Charles Tanqueray) โรงกลั่นดั้งเดิมอยู่ที่เขต Bloomsbury ใจกลาง London ต่อมาปี 1838 เขาเปิดร้านขายปลีกชื่อ Edward & Charles Tanqueray & Co ที่ถนน Vine Street กรุงลอนดอน เขาเสียชีวิตในปี 1868 ผู้รับหน้าที่แทนคือ Charles Waugh Tanqueray ลูกชาย ก่อนจะถูกพิษภัยของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำลายโรงกลั่นจนเกือบหมด จากนั้นย้ายไปอยู่สก็อตแลนด์ อย่างปัจจุบัน และผลิตจินหลายรุ่น
ในงานแข่งขันบาร์เทนเดอร์ระดับโลก “ดีอาจีโอ เวิลด์ คลาส โกลบอล ไฟนัลส์ 2018” (Diageo World Class Global Finals 2018) ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2561 ได้มีการเปิดตัวรุ่นใหม่พร้อมกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้ชื่อ “แทนกาเรย์ เฟลอ เดอ เซบียา”(Tanqueray Flor de Sevilla) ได้รับความสนใจจากบาร์เทนเดอร์และผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คนอย่างเนืองแน่น แม้จะมีขายในตลาดยุโรปและภูมิภาคอื่นแล้วก็ตาม ขณะที่เมืองไทยมีขายเฉพาะร้านปลอดภาษีเท่านั้น แต่มีโครงการจะขายในตลาดทั่วไปในเร็ว ๆ นี้
เซบียา (Sevilla) ตามภาษาสเปน หรือ เซวิลล์ (Seville) ในภาษาอังกฤษ เป็นเมืองหลักของแคว้นปกครองตนเองอันดาลูซิอา (Andalucia) และจังหวัดเซบียา อยู่ทางใต้เฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อย จากกรุงมาดริดนั่งรถไฟความเร็วสูง (AVE) ประมาณ 2 ชม.ครึ่ง เป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงิน วัฒนธรรม และศิลปะของภาคใต้ของประเทศสเปน
สำหรับแฟนฟุตบอลต้องรู้จักกันดี หลายคนเสียตังค์กันมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อปี 2559 ในรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอล ยูโรปา ลีก เซบียาบุกมาพิชิตลิเวอร์พูล แห่งอังกฤษ ทำสถิติเป็นแชมป์ ยูโรปา 3 ปี ติดต่อกันเป็นทีมแรก
คนในวงการหนัง เซบียาเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดัง ๆ หลายเรื่อง เช่น Game of Thrones ซีรีส์ชื่อดัง ขณะที่ปลาซา เดอ เอสปัญยา (Plaza de Espana) เคยถูกใช้เป็นฉากของ Star Wars เป็นต้น
ขณะที่ผู้คนในแวดวงอาหารการกิน เซบียาเป็นเมืองที่สภาพดินฟ้าอากาศเหมาะในการปลูกพืชผักผลไม้ต่าง ๆ ทั้งมะกอก น้ำมันมะกอก พลัม แอปริคอต ฯลฯ แต่ที่อยู่ในระดับแนวหน้าต้องยกให้พืชตระกูลส้ม จนได้ชื่อว่า “เมืองแห่งต้นส้ม” (Ciudad de Naranjos) นอกจากส้มแล้วยังรวมทั้งซีทรัส (Citrus) ด้วย
ปี 1860 ชาร์ล แทนกาเรย์ ผู้ให้กำเนิด Tanqueray เดินทางมาดูสวนส้มหลายแห่งในประเทศสเปน เพื่อแสวงหาวัตถุดิบเพื่อนำไปเป็นส่วนผสมของจิน แน่นอนเขามุ่งตรงไปยังเมือง เซบียา (Sevilla) ซึ่งเป็นเมืองที่เลื่องชื่อในการปลูกส้ม ต้น ๆ ปี 2018 หรือ 140 ปีหลังจากนั้น Tanqueray Gin Sevilla จึงก่อกำเนิดขึ้น ภายใต้ชื่อ “Tanqueray Flor de Sevilla” ก่อนที่จินที่ใช้ส้มเป็นวัตถุดิบ (Orange Gin) จะได้รับความนิยมหลังศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
Tanqueray Flor de Sevilla ที่มีแอลกอฮอล์ 41.3% ได้ชื่อว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว (Complex) ของลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) ของ Tanqueray ที่ใช้โบตานิก 4 ชนิด กับเอกลักษณ์ของส้มเซบียาได้อย่างลงตัว แถมยังสะท้อนรสชาติของเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย บรรจุขวดรูปทรงคลาสสิค ทรี พาร์ต ค็อกเทล เชกเกอร์ (Three Part Cocktail Shaker) สื่อความหมายถึงเหมาะกับการทำค็อกเทล จึงไม่แปลกที่รายงานของ Brands Report 2018 ระบุว่าจิน Tanqueray เป็นที่ชื่นชอบของบาร์เทนเดอร์ทั่วโลก
ในงาน “World Class Global Finals 2018” ที่กรุงเบอร์ลินดังกล่าว ผมได้ชิมTanqueray Flor de Sevilla หลายครั้งทั้งแบบธรรมดาและที่เป็นส่วนผสมของค็อกเทลหลากหลายสูตร ซึ่งถ้านำไปเทียบกับ Tanqueray No.Ten ที่ชอบอยู่แล้ว ปรากฏว่าไม่ใช่รักพี่ เสียดายน้อง แต่เป็นรักพี่ รักน้อง สีทองอมชมพู ดมครั้งแรกได้กลิ่นจูนิเปอร์แห้ง ๆ ดอกส้ม ที่เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับพร้อมส้มสดหอมหวาน และซีทรัส เบอร์รี เลมอน วานิลลา เอิร์ธตี้ สไปซี เปปเปอร์ เฮิร์บ ออลสไปซ์ ชอกโกแลต บิตเตอร์นิด ๆ รสชาติหนักแน่น จบยาวด้วยเปลือกส้ม ซีทรัส สไปซี และเฮิร์บชุ่ม ๆ คอ
“จิน” เป็นสุรากลั่นที่นำแอลกอฮอล์ที่บริสุทธิ์ที่สุด มาหมักกับเครื่องเทศ สมุนไพรและผลจูนิเปอร์ เบอร์รี (Juniper berries หรือ Juniperus communis) แล้วนำไปกลั่นซ้ำเป็นครั้งที่ 2 – 3 เดิมเป็นเหล้ายาสมุนไพร มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าถูกค้นพบในฮอลแลนด์ในปี 1650 โดย ดร.ฟรานซิสกัส เดอ ลา บัว (Dr.Franciscus de La Boë ) หรือหมอซิลเวียส (Dr.Sylvius) แห่ง The University of Leyden ที่พยายามหายารักษาความบกพร่องของไต ด้วยการผสมผสานแอลกอฮอล์จากธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรน์ และข้าวโพด กับ Juniper berries ดังกล่าว
อย่างที่กล่าวในตอนต้น “Tanqueray Flor de Sevilla” ในเมืองไทยมีขายเฉพาะในร้านค้าปลอดภาษี ส่วนตลาดทั่วไปอีกไม่นานนี้…!!!
