“KI” สัมผัสวัฒนธรรม“อีซากายา-สาเก”

5

6

7

9

12

14

Houraisen Tokubetsu Junmai Beshi

Kamotsuru Kuranama

Korin

Kurobuta Tonkatsu จับคู่สาเก

โตะยาวกลางห้อง

ทางเข้า

มุมริมหน้าต่าง

สาเก เทสติ้ง

หนึ่งในค็อกเทล

หนึ่งในเมนูเอกลักษณ์ของอีซากายา“อีซากายา หรือ อิซากายะ” (Izakaya) เป็น “ร้านเหล้าสไตล์ญี่ปุ่น” อีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะออกแนวครึ่งๆกลางๆ ระหว่าง ผับ ขณะที่ในบ้านเราส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็น “ร้านอาหาร” (Restaurant)
แม้วัฒนธรรรมอีซากายาจะมีมานมนาน แต่คำว่า Izakaya (หรือ Izakaja) ถูกจะนำมาใช้อย่างจริงจังประมาณ พ.ศ. 2530 นี่เอง โดยนำมาจาก 2 คำ คือ i แปลว่า ”ฉันหรือเรา” และ Sakaya หมายถึง “ร้านสาเก” ความหมายคือ “ร้านสาเกของเรา” ประมาณนั้น เนื่องจากสมัยก่อนคนญี่ปุ่นดื่มสาเกเป็นหลัก ขณะที่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น บางครั้งจะเรียกร้านรูปแบบนี้ว่า อะกาโชชิน (Akachochin) แปลว่า “โคมไฟสีแดง” เพราะร้าน Izakaya จะนิยมแขวนโคมไฟสีแดงไว้หน้าร้าน ให้ลูกค้ารู้ว่าร้านนี้เป็นร้าน Izakaya ไม่ใช่ร้านอาหารทั่วไป
ขณะที่บางตำราเล่าว่าก่อนยุคเมจิ (ค.ศ.1868-1912) “ซากายะ” (Zakaya) หรือร้านขายเหล้าในญี่ปุ่นนั้น ไม่มีที่นั่งให้คนนั่งดื่มในร้าน แต่สามารถยืนดื่มได้ ต่อมามีร้านขายเหล้าจัดที่ให้นั่งดื่มในร้านได้ แต่เป็นที่นั่งแบบง่าย ๆ ทำจากถังเหล้าสาเก อ้างอิงจากตัว I ในคำว่า Izakaya มาจากคำว่า Igokochi แปลว่าสถานที่สบาย ๆ จึงเรียกร้านนั่งดื่มเหล้าแบบนี้ว่า “อีซากายา”
เมื่อกระแส “วัฒนธรรรม อีซากายา” แพร่หลายไปทั่วโลก รูปแบบต่าง ๆ จึงเปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะในต่างประเทศ นอกจากเครื่องดื่มหลัก ๆ อย่างสาเก และเบียร์แล้ว ก็ยังมี โชชู วิสกี้ รัม ไวน์ ค็อกเทล ฯลฯ ที่สำคัญที่เห็นชัดในเมืองไทยคือ การตกแต่งร้าน และการให้บริการต่าง ๆ เหมือนร้านอาหาร เพื่อดึงดูดลูกค้า
ยกตัวอย่างล่าสุดคือโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok) ยกร้านอาหารอีซากายามาไว้ในโรงแรม ภายใต้ชื่อ “คิ อีซากายา” (Ki Izakaya) โดยคำว่า Ki ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “บรรยากาศ” (Mood) เมื่อรวมความกับ Izakaya ที่ความหมายถึงการ “กิน-ดื่ม” นัยจึงหมายถึง “บรรยากาศแห่งการกินดื่ม” เป็นการดื่มกิน Izakaya บนชั้น 9 ของโรงแรมระดับ 5 ดาวย่อมไม่ธรรมดา
เมื่อเป็น “ร้านสาเกของเรา” แน่นอนต้องพูดถึง “สาเก” (Sake) ซึ่งสำหรับคนญี่ปุ่นถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นประวัติศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมและสังคม เป็น “จิตวิญญาณ” ของคนญี่ปุ่น
คนญี่ปุ่นเรียกสาเกว่า “เซชุ” (Seishu) และเชื่อว่าสาเกเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เปรียบเสมือนน้ำมนต์ ที่จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย และสาเกมีเทพเจ้าคุ้มครองอยู่ ใครที่เคยไปเที่ยวศาลเจ้าหรือวัดในญี่ปุ่น จะเห็นถังบรรจุสาเกอยู่เต็มไปหมด นั่นเป็นสาเกที่ชาวญี่ปุ่นนำไปถวาย เมื่อถึงเทศกาลประจำปี ทางศาลเจ้าก็จะนำสาเกออกมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านดื่มกัน
สาเกเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักข้าวของชาวญี่ปุ่น ที่รู้จักการทำสาเกมานานกว่า 2,000 ปี พอๆ กับที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักการทำเกษตรเพาะปลูกพืชเป็นอาหาร แต่ยุคแรก ๆ เรียกว่า “คูชินาเมะ – โน –สาเก” (Kuchikame-no-sake)
การผลิตเหล้าที่ทำมาเป็นประเพณีดั้งเดิมนั้นจะทำในฤดูหนาว หรือในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงซึ่งอุณหภูมิเริ่มลดต่ำลง และใช้ข้าวที่เก็บเกี่ยวในฤดูนั้นเป็นวัตถุดิบ ปล่อยให้เกิดการหมักในช่วงฤดูหนาวจนถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
ความหนาวเย็นของอากาศในฤดูหนาวเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สาเกมีรสอร่อย อย่างไรก็ตามปัจจุบันการทำเหล้าจะทำในโรงงาน ขนาดใหญ่ ทันสมัย และทำกันทั้งปี มีทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ
คนญี่ปุ่นบอกว่าถ้าไปร้านอาหารญี่ปุ่นควรสั่งสาเกมาจับคู่กับอาหารด้วย จะได้รสชาติหรืออรรถรสที่อัศจรรย์ แต่ถ้าไม่รู้จะสั่งแบบไหน มีคำบางคำที่ช่วยท่านได้
ฟุตูชุ (Futushu) เป็นสาเกเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ เป็นเทเบิ้ล สาเก (Table sake) ที่หาได้ตามร้านอาหารทั่วไป ในซูเปอร์มาร์เก็ต ในร้านสะดวกซื้อ ทำจากข้าวที่ขัดสีเล็กน้อย มีการเติมแอลกอฮอล์ และสารปรุงแต่ง
อามะซาเกะ (Amazake ) สาเกที่ไม่มีแอลกอฮอล์หรือมีเล็กน้อย และมีรสหวานนำ เด็กและผู้ใหญ่สามารถดื่มได้เต็มที่ และดื่มก็เพียงไปงานเทศกาล ที่พ่อค้าแม่ขายมาตั้งร้านจำหน่ายให้ได้ดื่มกันในช่วงฤดูหนาว
นามะซาเกะ (Namazake) สาเกที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ จึงต้องแช่เย็น เพื่อเก็บให้สดอยู่เสมอ รสชาติสดชื่น ฟรุตตี้ และกลิ่นที่หอมหวาน มีความใสบริสุทธิ์สูงสุด รสชาติแรงสุด และไม่มีการเจือปนสิ่งใดเลย
นิโกริซาเกะ (Nigorizaki) เป็นสาเกที่ตรงกันข้ามกับนามะซาเกะ เพราะมีสีขาวขุ่น อาจมีเศษข้าวจากการหมักลอยฟุ้งอยู่บ้าง ซึ่งเกิดจากการใช้วิธีกรองแบบหยาบๆ สาเกชนิดนี้มีลักษณะคล้ายครีม รสชาติหนักแน่นอาจจะหวานและขมนิด ๆ น้ำเนื้อมีตั้งแต่ละเอียดนุ่ม จนถึงข้นเข้มแบบหยาบๆ
ถ้าอยากลิ้มรสสาเกที่รสชาติเหนือชั้นขึ้นมาอีก ท่านสามารถสั่งสาเกประเภทต่อไปนี้
จุนไม (Junmai) ต้องทำจากข้าว น้ำ โคจิ และยีสต์ เท่านั้น ไม่มีการเติมแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ได้กลิ่น แคแลกเตอร์ และรสชาติของข้าวที่ใช้ทำอย่างแท้จริง ไม่ได้บังคับเรื่องการขัดสีข้าว แต่ส่วนใหญ่ อย่างน้อย 70
สาเกจุนไมที่เกรดสูงสุดคือ “จุนไม ไดกินโจะ” (Junmai Diginjo) เป็นสาเกที่มีข้าวเหลือจากการจัดสีแล้ว 50 % หรือน้อยกว่า ไม่มีการเติมแอลกอฮอล์ (ถ้าเติมแอลกอฮอล์จะเรียกว่า “ไดกินโจะ” (Daiginjo)
ขณะที่ “จุนไม ยามาไฮ” (Junmai Yamahai) คือสาเกที่ทำจากข้าว น้ำ โคจิ และยีสต์ ไม่มีการเติมแต่งใด ๆ ส่วนคำว่า Yamahai บ่งบอกว่าเป็นจุนไมที่มีกระบวนการผลิตที่ละเอียดอ่อนเหนือชั้นกว่าจุนไมธรรมดา
ห้อง “คิ อีซากายา” (Ki Izakaya) มีเมนูสาเกที่น่าสนใจหลายตัว และหลายตัวดูแล้วน้ำลายสอ ส่วนะจะเป็นประเภทใด ดูจากคำแนะนำข้างต้น แต่ที่เสิร์ฟในการเปิดตัวมี 3 รุ่นคือ
กาโมสึรุ การานามะ (Kamotsuru Kuranama) ผลผลิตของบริษัท Kamotsuru Sake Brewing Co.,Ltd.แห่ง Hiroshima เป็นสาเกที่หอมสดชื่น มีกลิ่นหอมของข้าว ผสานกับดอกไม้ และผลไม้ เช่น เลมอน เฮิร์บเขียว ๆ มินต์ กึ่ง ๆ ดราย เป็นสาเกที่ดื่มง่าย ๆ สบาย ๆ ดื่มแล้วสดชื่น แอลกอฮอล์ไม่สูงมาก ดื่มเรียกน้ำย่อย หรือดื่มกับอาหารประเภทเรียกน้ำย่อยหรืออิดามาเหมะ (Edamame)
โฮไรเซน โตกุเบตสุ จุนไม เบชิ (Houraisen Tokubetsu Junmai Beshi) ผลิตโดย Sekiya Brewery Co. Ltd. ในเขต Aichi ซึ่งอยู่ระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า เป็นสาเกประเภทจุนไม คือทำจากข้าว 100% เป็นข้าว 2 ชนิด Yume Sanaui กับ Chiyo Nishiki ขัดข้าว 50% ส่วน Beshi เป็นคำสุดท้ายของบทกวีชื่อ “wagahai shin ni shosu beshi” ของ Kanzan ในยุคเอโดะ (Edo)
เป็นสาเกสไตล์นุ่มนวลและคอมเพล็กซ์ หอมกลิ่นข้าวที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของสาเก ประเภทจุนไม นอกนั้นหอมกลิ่นดอกไม้คล้าย ๆ ดอกมะลิ ดอกพุด ผลไม้เมืองร้อน เช่น ฝรั่ง มะละกอ เมลอน วานิลลา ครีมมีนิด ๆ ชอกโกแลต แอซสิดไม่สูงมาก สามารถดื่มแบบเย็นหรืออุ่นก็ได้ ที่สำคัญเข้ากับอาหารได้หลากหลาย
โกริน จุนไม (Gorin Junmai) เป็นผลผลิตของ Shata Shuzou Co.,Ltd.ในเขต Ishikawa เป็นสาเกประเภทจุนไม ที่ทำจากข้าวล้วน ๆ และผ่านการขัดถึง 60% หอมกลิ่นข้าวอบอวล ตามด้วยผลไม้ เช่น พีช แพร์ แอปริคอต กะทิมะพร้าวสด ๆ สโมคกี้ ขมนิด ๆ แอซสิดสูงกว่าตัวแรก แอลกอฮอล์ 16% ทำให้ดื่มแล้วสดชื่น ตัวนี้อร่อยมาก โดยเฉพาะเมื่อกินกับพวกไก่ย่าง เป็ด และชีส
วัฒนธรรม “อีซากายา-สาเก” นั้นมีเรื่องราวอีกมากมายที่เล่ากันไม่รู้จบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านบอกพนักงานว่า “โอคาวาริ สุมิมาเซน” ..ขอโทษครับ…ขอสั่งเพิ่มหน่อย !!
(หมายเหตุ : Ki Izakayaโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เปิดบริการทุกวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 17.00-24.00 น.โทร.02-095-9999)

Thawatchai Tappitak

ธวัชชัย เทพพิทักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ รวมทั้งด้านอาหาร เคยเดินทางไปทำไวน์ในยุโรป 5 ปีครึ่ง จึงนำประสบการณ์ด้านดังกล่าวมาถ่ายทอดสู่แวดวงที่เกี่ยวข้อง นานกว่า 20 ปี เป็นกรรมการตัดสินไวน์ บาร์เทนเดอร์ ฯลฯ ปัจจุบันเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และนิตยสาร เช่น Thailand Restaurant News,GQ,Gastrogsm ฯลฯ นอกจากนั้นยังสอนไวน์ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย ------------- ข้อมูลบทความ/ภาพ/วิดีโอ ในเว็บไซต์ ThatwatchaiGURU.com เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน การนำไปเผยแพร่ไม่ว่าในรูปแบบใดๆ (นอกจากการแชร์) ต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ----------- ติดต่อ: ThawatchaiGURU@at-Bangkok.com

You may also like...