การแข่งขัน “ดิอาจีโอ เวิลด์ คลาส 2015” (Diageo World Class 2015) รอบสุดท้ายหรือ “World Class Global Finals” ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เพื่อเฟ้นหาสุดยอดบาร์เทนเดอร์ระดับโลก นอกจากจะเป็นการแข่งขันบาร์เทนเดอร์รายการใหญ่แล้ว ว่ากันว่าสำหรับวงการเครื่องดื่มรางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งในรางวัลคุณภาพ และเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพของบาร์เทนเดอร์
พงศ์ภัค สุทธิพงศ์ “ต้น” จากร้าน Why 97 เป็นตัวแทนจากประเทศไทยไปร่วมชิงชัยกับสุดยอดบาร์เทนเดอร์จาก 54 ประเทศทั่วโลก และสามารถทำได้ดีด้วยการคว้าอันดับที่ 20 ของโลกมาครอง ขณะที่ตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของมิชิโตะ กาเนโกะ (Michito Kaneko) จากญี่ปุ่น
“Diageo World Class” เป็นแคมเปญระดับโลกที่สานต่อเป็นปีที่ 5 เริ่มครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษในปี 2009 เพื่อค้นหาสุดยอดบาร์เทนเดอร์ผู้เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการรังสรรค์เครื่องดื่มชั้นเลิศ สำหรับในประเทศไทยเข้าร่วมแคมเปญนี้ตั้งแต่ปี 2511 สนับสนุนโดยบริษัท ดิอาจีโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พรีเมียม ได้จัดกิจกรรมในการให้ความรู้ และฝึกฝนบาร์เทนเดอร์ไทยสู่การเป็นบาร์เทนเดอร์แถวหน้าของวงการ พร้อมเฟ้นหาตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในโครงการดังกล่าว ซึ่งในปี 2015 นี้จัดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม – 5 กันยายนที่ผ่านมา
เจนณรงค์ ภูมิจิตร ซีเนียร์ แบรนด์ แอมบาสเดอร์ ของ ดิอาจีโอ รีเสิร์ฟ (Diageo Reserve) บอกว่า เป็นเรื่องน่ายินดี ที่แชมป์ปีนี้เป็นของบาร์เทนเดอร์ญี่ปุ่น อย่างน้อยก็ยังเป็นประเทศในเอเชีย สะท้อนให้เห็นว่าวัฒนธรรมการดื่มในภูมิภาคเอเชียยังน่าจับตามอง เพราะนับเป็นครั้งที่ 2 ที่บาร์เทนเดอร์จากญี่ปุ่นคว้าตำแหน่งแชมป์โลก เช่นเดียวกันตัวแทนประเทศไทย ซึ่งทำผลงานได้น่าพอใจ สามารถรักษาอันดับท็อป 20 ของไทยไว้ได้
“จุดเด่นของตัวแทนประเทศไทยในปีนี้ คือคุณต้นเป็นคนที่มีความรู้ในทุกส่วนผสมที่นำมาเลือกใช้เป็นอย่างดี ทำให้เขาสามารถเฟ้นหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากแหล่งต่างๆ มาใช้ได้ สามารถตอบคำถามคณะกรรมการเกี่ยวกับวัตถุดิบที่นำมาใช้ได้ดี นอกจากนั้นค็อกเทลของคุณต้นยังมีรสชาติที่คงความเป็นไทยไว้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ซึ่งผมมองว่าอันนี้เป็นทั้งจุดดีและจุดที่น่าคิด เพราะบางครั้งด้วยวัฒนธรรมการดื่มในแต่ละประเทศต่างกัน วัตถุดิบบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงมากๆ คณะกรรมการชาวต่างชาติอาจไม่คุ้นรสชาติ และไม่รู้จัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวัง”
การแข่งขันประกอบด้วย 5 โจทย์คือ 1.Against The Clock ให้เวลาผู้เข้าแข่งขันทำค็อกเทล 10 แก้ว ภายในเวลา 10 นาที คุณต้นทำได้ดี และทำได้ครบ 10 แก้ว รสชาติทุกแก้วสมบูรณ์แบบมาก และคว้าอันดับที่ 9 มาครอง โจทย์ที่ 2 คือ Around The World ผู้เข้าแข่งขันทำค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากแอฟริกา และประเทศของตัวเองอย่างละ 1 แก้ว โดยคุณต้นเลือกทำค็อกเทล Flavor King โชว์ความเป็นไทยเต็มที่ ส่วนแก้วที่หยิบแรงบันดาลใจจากแอฟริกา คุณต้นเลือกนำแรงบันดาลใจจากอาหารมาทำ ในโจทย์นี้ ได้อันดับที่ 26
โจทย์ที่ 3 Night and Day ให้ทำเครื่องดื่มสำหรับกลางวันและกลางคืนอย่างละแก้ว ไฮไลต์ที่คุณต้นนำมาใช้คือการทำค็อกเทลสำหรับกลางคืน โดยนำใบยากลายซึ่งเป็นใบยาสูบจากตำบลกลาย ภาคใต้ของไทยมาใช้ โดยนำมารมควันเพื่อให้ได้กลิ่นหอม เหมาะกับสภาพอากาศแบบอาเซียนอย่างบ้านเรา กรรมการค่อนข้างสนใจ มีการซักถามเยอะว่านำมาจากไหน เราได้อันดับที่ 29
โจทย์ที่ 4 Retro Disco Future เป็นอีกโจทย์ที่สนุกมาก เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันได้แสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ผู้เข้าแข่งขันต้องออกแบบค็อกเทลสำหรับ 3 ยุคตามโจทย์ โดยคุณต้นเลือกตีความผ่านวัฒนธรรมการกินของผู้คนในยุคนั้นๆ รอบนี้เราได้อันดับที่ 26
โจทย์สุดท้าย Street Food Jam ผู้เข้าแข่งขันต้องเลือกอาหารสตรีท ฟู้ดของแอฟริกาใต้ 2ใน 6 จานพร้อมชิมก่อนจะถึงเวลาแข่งขัน 30 นาที จากนั้นให้ทำค็อกเทลให้เข้ากับอาหารจานที่เลือก โจทย์นี้เราได้อันดับที่ 33
สำหรับคู่แข่งที่น่าจับตามองในภูมิภาคอาเซียน เจนณรงค์ยกให้ฟิลิปปินส์ทำผลงานได้เป็นอันดับ 1 ในโจทย์ Around The World ซึ่งการชนะในเวทีระดับโลกนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แน่นอนว่าเขาจะเอาความรู้และประสบการณ์ที่ได้กลับไปพัฒนาวงการบาร์เทนเดอร์ประเทศเขา หากไทยไม่พัฒนาตัวเองขึ้นมา ที่เคยมองว่าเราเป็นอันดับสองในภูมิภาครองจากสิงคโปร์ อาจจะโดนแซงหน้าได้
“ผมมองว่าบาร์เทนเดอร์ไทยมีพัฒนาการดีขึ้นเยอะ จาก 5 ปีก่อน ที่ผมเคยบอกว่าเราช้ากว่าสิงคโปร์ 5 ปี มาตอนนี้ ผมกล้าพูดเต็มปากว่าเราช้ากว่าไม่เกิน 2 ปี เราไล่ทันสิงคโปร์แน่นอน ส่วนแนวทางการพัฒนาบาร์เทนเดอร์ไทยที่จะไปแข่งขันในอนาคต ผมมองว่าถ้าแข่งในไทย บาร์เทนเดอร์ไทยตีโจทย์ความเป็นไทยได้ดี แต่พอไปแข่งในระดับโลก ไอเดียของบาร์เทนเดอร์ไทยอาจยังไม่สะท้อนความเป็นสากลพอ สิ่งที่เรานำเสนอคณะกรรมการต่างชาติไม่เข้าใจ ดังนั้นในปีถัดไปเราอาจต้องมองหาผู้ที่มีมุมมองในการนำเสนอแบบกลางๆ มากขึ้น แต่ผมยังมั่นใจว่าศักยภาพของบาร์เทนเดอร์เรายังไปได้อีกไกล เราตั้งเป้าว่าสักวันเราต้องติดท็อปเทนในเวทีโลกให้ได้”
พรเศก ภาคสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์กลุ่มรีเสิร์ฟ บริษัท ดิอาจีโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า“ผมมองว่าการแข่งขันเป็นเป้าหมายให้ทุกๆ คนได้มีโอกาสแสดงฝีมือ เราไม่ได้รางวัลอะไร แต่สิ่งที่ได้ก็มีค่าไม่น้อยไปกว่ากัน คือได้ประสบการณ์ ได้รู้จักเพื่อนจากทั่วโลก ทำให้ได้แลกเปลี่ยนความรู้ เทคนิค เพิ่มโอกาสและช่องทางในการที่จะนำบาร์เทนเดอร์เก่งๆ จากต่างประเทศ เข้ามาเป็นบาร์เทนเดอร์รับเชิญเพื่อถ่ายทอดหลายสิ่งหลายอย่างให้กับบาร์เทนเดอร์ในประเทศไทย”
พรเศกอธิบายเสริมถึงการปรับตัวของบาร์เทนเดอร์ เพื่อรับกับเทรนด์การดื่มของคนไทยในปัจจุบัน ว่าผู้บริโภคเริ่มค้นหาเครื่องดื่มที่ให้รสชาติ และประสบการณ์ในการดื่ม หรือที่เรียกว่า Fine Drinking หรือ Cocktail Culture ซึ่งในแต่ละร้านก็เริ่มให้ความสนใจกับการหาบาร์เทนเดอร์ที่สามารถสร้างสรรค์เครื่องดื่มเหล่านั้น ตอบสนองความต้องการของตลาด ซึ่งทำให้บาร์เทนเดอร์ต้องไม่หยุดยั้งที่จะค้นคว้าหาความรู้ให้กับตัวเอง อันเป็นคุณสมบัติสำคัญของบาร์เทนเดอร์ที่ดี
ขณะที่บาร์เทนเดอร์ขยับขยายความรู้ความสามารถ คนดื่มก็ควรจะปรับทัศนคติต่อพวกเขาด้วย อย่างน้อยสั่งค็อกเทลสักแก้วแล้วพูดคุยกับเขา !!!