ประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ (Republic of South Africa) ที่เรียกสั้น ๆ ว่า แอฟริกาใต้ อดีตเคยเป็นดินแดนลึกลับในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะยุคมืดทางการเมือง แต่หลังท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ กำไรจากการท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าสู่แอฟริกาใต้อย่างต่อเนื่อง และแทบจะไม่หยุดยั้ง เพราะเสน่ห์ของประเทศนี้มีอยู่แทบทุกกระเบียดนิ้ว
“ฟรานโชก” (Franschhoek) เป็นเสน่ห์เล็ก ๆ ที่อาจจะถูกทาบทับด้วยเงื้อมเงาของเมืองใหญ่ในแอฟริกาใต้ แต่ถ้าไปสัมผัสสักครั้งท่านอาจจะหลงรัก …..คำว่า Franschhoek เป็นภาษาดัทช์ซึ่งเคยเข้ามามีอิทธิพลอยู่ในประเทศนี้ แปลเป็นภาษาอังกฤษคือ “French Corner” เป็นเมืองเล็ก ๆ พลเมืองประมาณ 15,000 คน แต่แออัดไปด้วยมนต์เสน่ห์ ตั้งอยู่ในจังหวัด Western Cape เป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของแอฟริกาใต้ อยู่ห่างจากเคป ทาวน์ (Cape Town) ประมาณ 75 กิโลเมตร
ปี 1688 ชาวฝรั่งเศสเผ่า Huguenot จำนวน 277 คนเดินทางจากฝรั่งเศส มาขึ้นฝั่งที่แหลมกู้ด โฮป ในจำนวนนี้ 176 คน เดินทางต่อมายังหุบเขา Franschhoek และได้รับที่ทำกินจากรัฐบาลดัตช์ซึ่งตอนนั้นเรียกบริเวณนี้ว่าโอลิฟานท์โชก (Olifantshoek) ความหมายในภาษาอังกฤษคือ Elephants’ corner เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินของช้างและช้างชอบมาพักที่นี่ เพราะอยู่ในหุบเขามีอาหารการกินสมบูรณ์แล้ว สามารถหลบลมหนาวได้ด้วย ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Coin Francais (French Corner) ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Franschhoek (ซึ่งในภาษา Afrikaans แปลว่า French Corner)
ดังนั้นนอกจากผู้คนที่นี่จะพูดภาษาฝรั่งเศสแล้ว ชื่อสถานที่ต่าง ๆ ก็ยังเป็นภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะฟาร์มปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ไร่ไวน์และโรงงานชีสชื่อดัง ๆ ซึ่งถือเป็นอาชีพตั้งแต่ครั้งมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ๆ เช่น La Motte, La Cotte, Cabriere, Provence, Chamonix, Dieu Donne และ La Dauphine นอกนั้นยังมีไร่องุ่นดัง ๆ เช่น Du Toit, Marais, Du Plessis, Malan, Malherbe และ Joubert เป็นต้น
เรื่องราวของเมือง Franschhoek ถูกเล่าสู่สายตาชาวโลก ผ่านถนนสายหลักของเมืองคือถนน Huguenot ซึ่งแยกมาจากถนนหลวงสาย R45 ที่เชื่อมต่อไปยัง Stellenbosch และ Paarl ที่สามารถเดินทางมายัง Franschhoek ด้วยรถตู้โดยสารแบบบ้านเราซึ่งเขาเรียกว่าแท็กซี ไม่มีรถไฟ โดย Paarl อยู่ทางเหนือ ขณะที่ Stellenbosch อยู่ทางตะวันตก ตามถนนสาย R45 เลี้ยวซ้ายเข้า R310 จะผ่าน Stellenbosch แล้วไปเลี้ยวขวาเข้าถนนสาย N2 มุ่งไปยังเมือง Cape Town ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมใช้ในการเดินทางครั้งนี้ จาก Cape Town มา Franschhoek ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
ขณะที่อีกด้านหนึ่งล้อมรอบด้วยเทือกเขา Franschhoek ที่มีหมอกอ้อยอิ่งและเล็มยอดเขาอยู่ตลอดเวลา ริมถนน Huguenot สามารถเดินชมเมือง ชมตลาด ชมความอยู่ของผู้คน ชมงานศิลป์ใน Art House ขณะที่ Bordeaux Street Gallery เป็นแหล่งรวบรวมงานฝีมือของศิลปินชั้นแนวหน้าของแอฟริกาใต้ ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนสีและงานบรอนซ์ ส่วนพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวความเป็นมาของเมืองนี้ตั้งอยู่ริมถนน เสียดายช่วงที่ผมไปนั้นเขาปิดเสียก่อน ได้แต่ยืนดูอนุสาวรีย์ Huguenot Monument
อาคารบ้านเรือน รวมทั้งร้านค้าริมถนนหลาย ๆ หลังยังคงศิลปะดั้งเดิมที่เรียกว่า Cape Dutch architecture ซึ่งทางการพยายามอนุรักษ์เอาไว้ ส่วนใหญ่เป็นอาคารชั้นเดียว ขณะเดียวกันหลายแห่งก็เป็นอาคารสมัยใหม่รวมทั้งคอมมูนิตี้ มอลล์ ที่มีสินค้าพื้นเมืองและอาหารการกินมากมาย แต่ถ้าอยากได้ของพื้นเมืองจริง ๆ ต้องไปที่ตลาดนัด ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับศาลาว่าการเมือง ที่สำคัญต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนให้ดี 1 แรนด์ (Rand) ของแอฟริกาใต้เท่ากับประมาณ 6 บาท
ในเมืองมีโรงแรมให้เลือกพักหลายแห่ง โดยเฉพาะโรงแรมเล็ก ๆ ประเภทกระท่อมและ bed & breakfasts นอกจากนั้นหลังอาคารบ้านเรือนริมถนน Huguenot จะมีซอยเล็ก ๆ หลายซอย เดินเข้าไปข้างหลังยังมีร้านค้าเล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหารและผับ ….Franschhoek ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีร้านอาหารและไวน์ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของแอฟริกาใต้ ขณะที่กูรูด้านอาหารการกินเรียกเมืองนี้ว่า “Food and Wine Capital” เคยเป็นเจ้าภาพจัดงาน ”S.Pellegrino world’s 50 best restaurants” มาแล้ว ถ้าไปในวันที่ 14 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันชาติฝรั่งเศส จะมีงาน Bastille Day ชาวบ้านจะนำไวน์และอาหารมาเรียงรายให้เลือกลิ้มลองเต็มสองฝั่งถนน
มีหลายร้านที่ผมชอบมาก เช่น Huguenot Fine Chocolates ร้านขายขูติกชอกโกแลต สั่งชอกโกแลตชั้นดีมาจากเบลเยี่ยม มีให้เลือกเยอะแยะ นอกจากนั้นยังส่งให้ร้านอาหารและโรงแรมระดับ 5 ดาว และเสิร์ฟในชั้นธุรกิจของ South African Airways ด้วย อีกร้านหนึ่งเป็นร้านขายหนังสือเก่าชื่อ Books ผมเลือกได้ 2 เล่มถึงเวลาปิดร้านพอดี ร้าน Cooksensuals ขายอุปกรณ์เครื่องครัวมากที่สุดในเมือง หลายอย่างน่ารักน่าใช้และไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็ได้มา 2-3 ชิ้นเล็ก ๆ เพราะดูแล้วน้ำหนักท่าจะเกิน
คนรักไวน์กับชีสถ้าไม่ไปร้าน La Cotte Inn Wine Sales ถือว่ายังไม่ถึง Franschhoek อย่างแท้จริง เป็นร้านเก่าแก่มีเซลลาร์ใต้ดินลึกลับและน่ากลัว ขายไวน์แอฟริกาใต้กว่า 30 – 40 บริษัท ไม่รวมไวน์จากชาติอื่นจากทั่วโลก พร้อมทั้งชีสฝรั่งเศสที่อร่อยมาก มีทั้งที่ผลิตในท้องถิ่นและนำเข้า ผมขอชิมชีสจากเจ๊เจ้าของร้านกว่า 10 ชนิด เขาไม่อิดเอื้อนเลย แถมยังบอกว่าชิมก่อนถูกใจแล้วค่อยซื้อ สุดท้ายผมไม่ได้ซื้อ เธอก็ยิ้มแย้มไม่ว่าอะไร …ถ้าเป็นบ้านเราคงโดนแม่ค้ากัดแง๊บ ๆๆๆ ลับหลัง
Franschhoek เป็นเมืองหลวงของอาหารและไวน์ โดยความรู้ในการทำไวน์ก็ได้มาจากผู้อพยพชาวฝรั่งเศส Huguenot นั่นเอง รอบ ๆ เมืองเรื่อยไปถึง Stellenbosch และ Paarl มีไร่องุ่นมากมาย และสามารถทำไวน์ได้หลากหลาย ที่สำคัญคุณภาพไม่แพ้ไวน์จากยุโรป เช่น Springfield Estate และ Fair View เป็นต้น ทั้ง 2 รายก็มีผู้ก่อตั้งอพยพมาจากยุโรป (ในเมืองไทยนำเข้าโดยบริษัท BB&B 02 716 5521 – 4)
ถ้าชอบทั้งไวน์และรถต้องไปที่ Franschhoek Motor Museum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไร่ไวน์ L’Ormarins Wine Farm จัดแสดงเรื่องราวและประวัติของรถยนต์นานาชนิด พร้อมรถประมาณ 2020 คัน เก่าแก่ที่สุดคือมอเตอร์ไซด์ 3 ล้อ ยี่ห้อ Beeston ปี 1898 ผลิตในอังกฤษ ไล่เรื่อยมากระทั่งซูเปอร์คาร์รุ่นหรูหราอย่าง Ferrari Enzo 2003 เป็นต้น
ดินเนอร์เย็นวันนั้นเกิดขึ้นที่ร้าน Col’Cacchio Pizzeria ร้านอิตาเลียนยอดนิยมของเมือง ซึ่งมีสาขาอยู่ในเมืองต่าง ๆ 18 สาขา โดยใน Franschhoek อยู่ใกล้ ๆ กับ Tourist Information Centre มีบรรยากาศให้เลือกทั้งด้านในร้าน และรับลมเย็นเฉียบใต้ต้นโอคด้านนอก ตอนแรกอยากได้ข้างนอกเพราะเย็นดี แถมวันนั้นมีดนตรีด้วย แต่ปรากฏว่าลูกค้าจองเต็มหมด เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้คือพิซซา โฮมเมด หน้าต่าง ๆ กว่า 50 หน้า นอกนั้นก็เป็นพวกปาสตาต่าง ๆ และสลัดที่ใช้ผักสด ๆ จากฟาร์มในเมืองนั่นเอง
…Franschhoek เป็น wine valley ที่งดงามที่สุดในโลก
….Franschhoek เป็น food & wine capital ของประเทศ
…Franschhoek เป็นเมืองที่ร้านอาหารได้รับรางวัลมากกว่าที่ใดในประเทศ
ชาวเมือง Franschhoek เขาว่าไว้อย่างนั้น….