นพพร พานิช อ้ายหนุ่มอุดรฯ พเนจรไปทำมาหากินอยู่ทางใต้กว่า 30 ปี สะสมประสบการณ์ด้านอาหารไว้เยอะ วันหนึ่งจึงตัดสินใจเปิดร้านชื่อ “กระติ๊บข้าว” ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นร้านอาหารอีสานที่ลูกค้าเนืองแน่น เพราะฝีมือทำกับข้าวอร่อย ต่อมาถูกเจ้าของตึกที่เช่าอยู่เล่นไม่ซื่อ จึงแบกหม้อหิ้วกระทะและอุปกรณ์การทำร้านอาหารขึ้นสิบล้อ 3 คัน พเนจรอีกครั้ง มาที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปตั้งหลักตรงไหน
โชคดีได้เพื่อนแท้ช่วยหาที่ทางให้ ร้าน “กระติ๊บข้าว” จึงเกิดขึ้นที่เมืองกรุง ณ ริมถนนเกษตร-นวมินทร์ คราวนี้ทุ่มสุดตัว และจากการที่สั่งสมวิชาการควงตะหลิว เคาะกระทะไว้มาก เมนูของร้านจึงไม่เพียงโดดเด่นเฉพาะอาหารอีสานเท่านั้น แต่ยังมีอาหารเวียดนาม อาหารปักษ์ใต้ และซีฟู้ด ให้เลือกรวมแล้วมีอยู่กว่า 60 รายการ ที่สำคัญมีการสรรหาเมนูตามฤดูกาลให้กินทั้งปี
ร้าน “กระติ๊บข้าว” มีบรรยากาศของร้านมีให้เลือก 2 แบบ ด้านนอกเปิดโล่งโปร่งใส จะกินลมชมวิวก็ไม่มีใครว่า แต่อย่ากินเยอะ เดี๋ยวจะอิ่มเสียก่อนไม่ได้กินของอร่อย ขณะที่ด้านในเป็นห้องกระจกใสติดแอร์เย็นอุรา
สั่งเมนูกินเล่นๆ ในแบบอีสานสัก 2-3 จาน เช่นจั๊กจั่นทอด กรอบนอกนุ่มใน หอมกรุ่น สั่งตรงมาจากภูเก็ต ซึ่งเป็นแห่งเดียวที่มีให้กิน ใส้กรอกอีสาน ก้อนโต กว่าหลายๆ ร้าน กรอบนอกนุ่มในหอมกรุ่น มีถั่วลิสงคั่ว ขิง พริกขี้หนูสด และผักสดให้กินแก้เลี่ยน คอหมูย่าง เหนียวนุ่ม ชิ้นใหญ่เคี้ยวได้รสชาติของหมู เพื่อให้ครบสูตรอีสานต้องสั่งส้มตำปู และข้าวเหนียว มาด้วย ข้าวเหนียวร้านนี้เพื่อสุขภาพและสีม่วงจากดอกอัญชัน เหนียว นุ่ม และหอม ส่วนส้มตำต้องการเผ็ดขนาดไหนก็บอกพนักงาน
หนึ่งในเมนูพิเศษคือ “หอยตะเภา” ซึ่งเป็นหอยอยู่ในพื้นที่กระบี่ ตรัง สตูล และในหนึ่งปีจะมีให้กินประมาณ 4 – 5 เดือนคือประมาณพฤศจิกายน – เมษายน แต่บางปีสภาพอากาศไม่เป็นใจอาจจะได้กินแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น
หอยตะเภา มีเปลือกที่ค่อนข้างใหญ่และหนา รูปร่างมองดูคล้ายส่วนท้ายของเรือสำเภา บางท้องถิ่นจึงเรียกว่าหอยท้ายเภา อาศัยอยู่บริเวณชายหาดในเขตน้ำขึ้น – น้ำลง โดยฝังตัวใต้ผิวทรายลึกประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร การเก็บต้องวิธีการดำน้ำด้วยหน้ากาก พร้อมถุงทรายสำหรับถ่วงเมื่อพบรูเล็กๆ ที่เป็นที่อยู่อาศัยของหอย จะใช้ตะขอขนาดเล็กคล้ายส้อมขุดลงไป แล้วเก็บหอยใส่ถุงอวน ห้ามใช้อุปกรณ์ดำน้ำที่ทันสมัยอย่างอื่น
หอยตะเภา สามารถทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น แกงส้มมะละกอ แกงเลียง แกงกับแตงโมอ่อน นึ่ง เผา ฯลฯ แต่ถ้าเผาต้องไม่ให้สุกมากเพราะเนื้อจะเหนียว อย่างไรก็ตามวิธีกินที่อร่อยที่สุด ได้รสชาติของหอยมากที่สุดคือ จุ่มลงในน้ำร้อนเดือด ๆ เมื่อเปลือกหอยเปิดก็รีบนำขึ้นมากินทันที เนื้อจะนุ่มและน้ำในตัวหอยจะหวาน หลายคนบอกว่ารสชาติเหมือนหอยเป๋าฮื้อ ทำให้หอยชนิดนี้ถูกส่งไปไต้หวันเป็นจำนวนมาก
เมนูเด็ดและเป็นสัญลักษณ์ของร้านมาโดยตลอดคือ ปูม้าถอดเสื้อใครชิมแล้วต้องติดใจ โดยเขาจะนำปูม้าไปนึ่งจนสุกกำลังดี แกะกระดองออกใช้มีดหั่นสไลด์เป็นชิ้นๆ เห็นเนื้อขาวนวลวางเรียงไว้ในจานส่วนขาและก้ามปูจะแกะเปลือกออกเหลือตรงปลายไว้เป็นที่จับ สะดวกในการกิน วางเรียงอย่างสวยงามในจาน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแบบซีฟู้ดรสจัดจ้าน
ปลากระบอกจีนนึ่งซีอิ๊ว เป็นอีกจานพิเศษในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเคยกินแต่กระพงนึ่งซีอิ๊ว หรือปลากระบอกของไทยต้มส้ม หรือทอดขมิ้น แต่จานนี้เป็นปลากระบอกจีนขนาด 6-7 ขีด นึ่งซีอิ๊วอย่างดี หอมกรุ่นเนื้อนุ่มเนียนและมันอร่อยมาก เดิมกระบอกจีนเป็นปลานำเข้า ปัจจุบันมีการเลี้ยงทางใต้ของเราและได้คุณภาพดีด้วย เนื้อเยอะและมันกว่าปลากระบอกของไทย
นอกจากนั้นก็ยังมี ปลากระเบนนกแดดเดียว เป็นปลากระเบนนกเนื้อดำ ทอดกรอบนอกนุ่มใน เค็มปะแล่ม ๆ กินกับ ข้าวเหนียวอัญชันอร่อยมาก ,หัวปลาเก๋าหมอต้มยำ เป็นปลาเก๋าหมอเป็น ๆ ขนาด 70 กว่ากิโล ส่งมาจากทางใต้โดยเฉพาะ เนื้อจึงหวาน หนังกรุบ ๆ อร่อยมาก คนที่ชอบกินหัวปลาหม้อไฟต้องไม่พลาด,ทอดมันปลากราย ชิ้นโต เหนียวนุ่ม และข้าวผัดปลาเค็ม ซึ่งเป็นที่ติดใจของทุกคนที่เคยลิ้มลอง
ปลากระพงทอดน้ำปลา นี่ก็ทีเด็ด กระพงสด ๆ ทอดกรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยหัวน้ำปลาอย่างดีกลิ่นหอมฉุย แทะกันเกลี้ยงแทบไม่เหลือก้างชนิดที่แม้วร้องไห้ ส่วนแบบน้ำ ๆ ซดคล่องคอ ปลาทูต้มมะดัน รสเด็ดโดยที่ไม่ต้องไปหากินถึงแม่กลองหรือมหาชัย ถ้าประจวบเหมาะถ้าตรงกับฤดูกาลอาจจะได้ลิ้มลองหมึกน้ำดำ ซึ่งเป็นเมนูที่ร้านอาหารในมืองกรุงไม่ค่อยทำกัน เป็นเมนูง่ายๆ แต่อร่อยล้ำ ถ้าชอบอาหารเวียดนามแหนมเนืองของร้านนี้ รสชาติไม่เป็นรองใคร บางคนบอกว่าดีกว่าร้านอาหารเวียดนามแท้ ๆ ด้วยซ้ำไป
ร้านกระติ๊บข้าวอยู่ที่ ถ.เกษตร-นวมินทร์ (อยู่ฝั่งเดียวกับทางที่จะมุ่งหน้าไปแยกเกษตร) สังเกตง่ายๆ ร้านจะอยู่ตรงหลักเสากลางถนนหรือตอม่อต้นที่ 261 พอดี เปิดบริการทุกวันเวลา 11.00-22.00 น.โทร.0-2946-2535/08-9744-4666