“Walking through To Kalon, admiring its contours and vines, smelling the richness of its soil, I knew this was a very special place. It exuded an indefinable quality I could not describe, a feeling that was almost mystical.”
Robert Mondavi
“โรเบิร์ต มอนดาวี” (Robert Mondavi) “เจ้าพ่อไวน์นาแ แวลลีย์” กล่าวถึงความพิเศษของ “To Kalon Vineyard” ไร่องุ่นแห่งแรกที่เขาลงหลักปักฐาน ในปี 1966 หลังจากแยกตัวออกมาจากธุรกิจครอบครัว ซึ่งในภาษากรีซหมายถึง “สถานที่ที่งดงาม”
โรเบิร์ต มอนดาวี นั้นมีความคิดฝังหัวอยู่ตลอดเวลาว่า “ต้องทำไวน์คุณภาพระดับโลกเหมือนในยุโรป” และการจะทำไวน์ได้คุณภาพดีนั้น พื้นที่ปลูกองุ่นจึงมีความสำคัญ ก่อนจะมาจบที่ To Kalon ซึ่งดินฟ้าอากาศทุกอย่างลงตัว มีพื้นที่ 450 เอเคอร์ ได้ชื่อว่าเป็น “กรองด์ ครู” (Grand Cru) ของไวเนอะรีทั้งมวลในนาปา แวลลีย์ และนี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ไวน์ของไร่โรเบิร์ต มอนดาวี เป็นที่ชื่นชอบของทั่วโลก
โรเบิร์ต มอนดาวี เลือกวันที่ 16 กรกฏาคม 1966 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของมาเชีย (Marcia) ลูกสาว เป็นวันลงจอบลงเสียมเพื่อเบิกหน้าดินเอาฤกษ์เอาชัย พร้อมชื่อ “Robert Mondavi Winery” ช่วงแรกต้องซื้อองุ่นจากไร่อื่นมาทำไวน์ ตามกลไกของตลาดไปก่อน นอกจากจะรอองุ่นของตัวเองได้คุณภาพตามที่ต้องการ ยังเป็นการหารายได้มาใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ
ในช่วงนั้นไวน์โรเซ (Rose) กำลังเป็นที่นิยม โรเบิร์ต มอนดาวี จึงทำโรเซสไตล์ดื่มง่ายๆ หอม ๆ เย็นชื่นใจ ด้วยองุ่นกาเมย์ (Gamay) เหมือนในโบโฌเลส์ ของฝรั่งเศส เพราะไวน์สไตล์นี้ทำแล้วขายได้เลย ไม่ต้องรอหมักบ่มให้เงินจม ขายราคาขวดละ $1.79
วันหนึ่งชาวไร่องุ่นส่งองุ่นโซวีญยอง บลอง (Sauvignon Blanc) คุณภาพดีมาให้ แต่โรเบิร์ต มอนดาวี ยังมึนๆ งงๆ ว่าจะเอามาทำอะไรดี เพราะในตอนนั้น ไวน์ขาวจากองุ่นโซวีญยอง บลอง ไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่ที่มีขายท้องตลาดคุณภาพก็ไม่ค่อยดีเขานึกถึงการได้ไปเที่ยวชมไร่องุ่นในลัวร์ แวลลีย์ (Loire Valley) ที่ทำไวน์ขาวซองแซร์ (Sancerre) และปุยญี-ฟูเม (Pouilly-Fume) ด้วยองุ่นโซวีญยอง บลองได้ดีเยี่ยม แล้วทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้เชียวหรือ ? ในที่สุดเขาจึงเอาโซวีญยอง บลอง ไปหมักต่อในถังโอคฝรั่งเศสพร้อมตั้งชื่อว่า “ฟูเม บลอง” (Fume Blanc) วางตลาดในปี 1968 ได้รับการต้อนรับอย่างดีและกลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งของไวน์แคลิฟอร์เนีย
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการผลิตไวน์ของ Robert Mondavi Winery ไม่นับรวมกับที่โรเบิร์ต มอนดาวี ก่อตั้งไวเนอะรีใหม่และจับมือกับผู้ผลิตไวน์ชื่อดังจากต่างประเทศ ผลิตไวน์ระดับพรีเมียม ซึ่งแต่ละตัวล้วนเป็นตำนนานทั้งสิ้น
ปี 2004 Robert Mondavi Winery ถูกขายให้กับบริษัท คอนสเตลเลชั่น(Constellation Brands,Inc.) หนึ่งในผู้ค้าไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับโลก ซึ่งเป็นเรื่องของธุรกิจที่เหมือนกันทั่วโลก ครอบครัวของโรเบิร์ต มอนดาวี ออกไปไวน์ของตัวเอง อย่างไรก็ตามคอนเซปต์และเป้าหมายของ Robert Mondavi Winery ยังคงเดิมและผลิตไวน์หลายรุ่น พร้อมเพิ่มเติมลูกเล่นและสีสันเข้าไป
“โรเบิร์ต มอนดาวี ไพรเวท ซีเลคเชิน” (Robert Mondavi Private Selection) เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในท้องตลาด เนื่องจากคุณภาพดีและราคาจับต้องได้ มีการผลิตออกมาหลายพันธุ์องุ่นทั้งขาวและแดง โดยนำองุ่นมาจากไร่ต่าง ๆ ในแคลิฟอร์เนีย แล้วนำมาผลิตที่โรเบิร์ต มอนดาวี ไวเนอะรีที่โอควิลล์ (Oakville) ในนาปา แวลลีย์ (Napa Valley) นั่นเอง พร้อมมิติใหม่ที่เพิ่งผลิตเมื่อไม่นานมานี้ “โรเบิร์ต มอนดาวี ไพรเวท ซีเลคเชิน สปิริต บาร์เรล เอดจ์” (Robert Mondavi Private Selection Spirit Barrel-Aged) เป็นการนำไวน์ไปบ่มในถังโอคที่ผ่านการบ่มสปิริตหรือเหล้าต่าง ๆ มาแล้ว นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
ในเมืองไทยบริษัท Ambrose Wine & Spirit จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายไวน์ “โรเบิร์ต มอนดาวี” (Robert Mondavi) ปรกติจะต้องมีการจัดงานแนะนำและเทสติ้งไวน์รุ่นใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ในช่วงเวลาที่ไม่ปรกติจากการระบาดของโควิด-19 อย่างนี้ จึงต้องจัดแนะนำและเทสติ้งแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดย “เกลน โคจ์เฮลล์” (Glen Coughell) หัวหน้าไวน์เมกเกอร์ แนะนำมาจากไร่โรเบิร์ต มอนดาวี ในนาปา แวลลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ถ่ายทอดมายังประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเวลาอยู่ในโซนเดียวกัน โดยมี “เบอร์นิซ หลิว” (Bernice Liu) นักแสดง นักร้อง นางแบบสาวเชื้อสายแคนาดา-ฮ่องกง ซึ่งศึกษาเรื่องไวน์จนเป็นซอมเมอลิเยร์ (Sommelier) และนักเขียน นักวิจารณ์ไวน์ทำหน้าที่เป็นพิธีกรถ่ายทอดจากฮ่องกง
“เกลน โคจ์เฮลล์” (Glen Coughell) นั้นเป็นมือปรุงเบียร์ (Brewmaster) มาก่อน หลังจากที่ได้เรียนรู้ด้านการทำไวน์จึงหันเหเส้นทางมาเป็นไวน์เมกเกอร์ และมาร่วมงานกับโรเบิร์ต ไวเนอะรี ในปี 2018 ได้รับมอบหมายให้ดูแล Robert Mondavi Private Selection โดยเฉพาะ และ Spirit Barrel-Aged ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขา
สำหรับ 3 รุ่นที่มีการแนะนำดังกล่าวและมีจำหน่ายในตลาดเมืองไทยเรียบร้อยแล้วประกอบด้วย
โรเบิร์ต มอนดาวี ไพรเวท ซีเลคเชิน เบอร์เบิน บาเรล เอดจ์ กาแบร์เนต์ โซวีญยอง แคลิฟอร์เนีย 2018 (Robert Mondavi Private Selection Bourbon Barrel-Aged Cabernet Sauvignon California 2018) : ทำจากกาแบร์เนต์ โซวีญยองล้วน ๆ จากไร่ที่โรเบิร์ต ไวเนอะรีมีชื่อเสียงในการปลุกอยู่แล้ว หลังจากผ่านกระบวนการหมักแล้ว จึงบ่ม 10 เดือนถังอเมริกันโอคที่ใช้บ่มเบอร์เบิน ตามคอนเซปต์ “Born from Bourbon Barrels Raised in Wine Glasses”
สีแดงเข้ม สดใส หอมกลิ่นกรีนเปปเปอร์ ผสานกันผลไม้สุก เช่น แบล็คเบอร์รี บลูเบอร์รี แบล็คเคอร์แรนท์ และราสพ์เบอร์รี ขนมพายผลไม้ ชอกโกแลต มอคคา กาแฟคั่ว คาราเมล วานิลลา สไปซี่เฮิร์บแห้ง ๆ จันทร์เทศ อบเชย เปลือกส้มแห้ง ๆขนมปังกรอบ สโมคกี้โอค แอซสิดสดชื่น แทนนินนุ่มหวานลิ้น จบยาวด้วยผลไม้ วานิลลา โอคกรุ่น ๆพร้อมกลิ่นเบอร์เบินหอมฉุย ……..18.5/20 คะแนน
โรเบิร์ต มอนดาวี ไพรเวท ซีเลคเชิน รัม บาร์เรล เอดจ์ แมร์โลต์ แคลิฟอร์เนีย 2018 (Robert Mondavi Private Selection Rum Barrel-Aged Merlot California 2018) : ทำจากแมร์โลต์ (Merlot) 100 % ที่เก็บเกี่ยวในช่วงใกล้รุ่ง หลังจากผ่านกระบวนการหมักแล้ว บ่ม 10 เดือนในถังอเมริกันโอคบ่มดาร์ค รัม (Dark Rum) ซึ่งเป็นเหล้าชื่อดังของประเทศแถบแคริบเบียนที่กลั่นจากน้ำตาลอ้อยหรือโมลาส เป็นการผสมผสานของความหวานจากรัมกับผลไม้สุกหอมหวานของแมร์โลต์ คอนเซปต์ของรุ่นนี้คือ “Born from Rum Barrels Raised in Wine Glasses”
สีแดงเข้มสดใส ดมครั้งแรกได้กลิ่นหอมหวานของเหล้ารัม ผลไม้สุก เช่น พลัม แบล็คเบอร์รี แบล็คเชอร์รี ราสพ์เบอร์รี และบลูเบอร์รี มะกอกดำ ขนมรัมเค้ก วานิลลา กาแฟมอคคา ชอกโกแลต ใบยาสูบ สไปซี่ ยี่หร่า โอคหอมหวาน คาราเมล น้ำผึ้งกรุ่น ๆบราวน์ ชูการ์ เนื้อมะพร้าวคั่ว แอซสิดสดชื่น แทนนินนุ่มหวานลิ้น จบยาวด้วยผลไม้ สไปซี่ วานิลลา สามารถดื่มได้ในเวลานี้ หรือเก็บได้สัก 3-4 ปี….18/20 คะแนน
โรเบิร์ต มอนดาวี ไพรเวท ซีเลคเชิน ไรย์ บาร์เรล เอดจ์ เรด เบลนด์ แคลิฟอร์เนีย 2018 (Robert Mondavi Private Selection Rye Barrel-Aged Red Blend California 2018) : วินเทจนี้ทำจาก แมร์โลต์ (Merlot) ทานาท (Tannat) กาแบร์เนต์ โซวีญยอง (Cabernet Sauvignon) มาลเบค (Malbec) เปตีต์ แวร์กโดต์ (Petit Verdot) และกาแบร์เนต์ ฟรอง (Cabernet Franc) โดยส่วนผสมนี้แต่ละวินเทจจะต่างกันออกไปตามผลผลิตขององุ่นแต่ละปี หมักในถังสแตนเลสเพื่อต้องการความสดชื่นและผลไม้ จากนั้นบ่ม 10 เดือนในถังไรย์ วิสกี้ (Rye Whiskey Barrel) ซึ่งเป็นอเมริกันโอค เป็นการยืมแคแลคเตอร์ของไรย์ วิสกี้มาผสมผสานกับไวน์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งองุ่นถึง 6 สายพันธุ์อย่างนี้ ไวน์เมกเกอร์ต้องคิดหลายชั้น คอนเซปต์ของรุ่นนี้คือ “Born from Rye Barrels Raised in Wine Glasses”
สีแดงเข้มสดใส หอมกลิ่นผลไม้สุก เช่น แบล็คเชอร์รี แบล็คเบอร์รี ราสพ์เบอร์รี พลัม และพุทราจีนแห้ง ดอกลาเวนเดอร์ พร้อมกลิ่นข้าวบาร์เลย์ต้มกรุ่น ๆ สไปซี่โอค และเฮิร์บ อบเชย จันทร์เทศ ยี่หร่า ใบยาสูบ ชอกโกแลต คาราเมล ยีสต์ แป้งขนมปัง วานิลลา แอซสิดสดชื่น แทนนินนุ่มหวาน จบยาวด้วยผลไม้ สไปซี่ และโอค เป็นไวน์ที่ควรจะดื่มวินเทจใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้นาน หรือจะเก็บไม่ควรเกิน 4-5 ปี เป็นไวน์คอนเซปต์ใหม่ที่อยากให้ลองชิม……18/20 คะแนน
สำหรับรายละเอียดของไวน์ โรเบิร์ต มอนดาวี ทั้ง 3 รุ่นดังกล่าว สอบถามที่บริษัท Ambrose Wine & Spirit จำกัด โทร. : 02 719-8206 – 8211