โยชิอากิ ซาโตะ (Yoshiaki Sato) เคียวโกะ ซาโตะ (Kyoko Sato) พบกันในปี 1998 ระหว่างที่ทำงานในธนาคาร Japanese bank ทำทั้งในญี่ปุ่นและลอนดอน หลังจาก 12 ปีทั้งคู่ตัดสินใจยุติการเป็นมนุษย์เงินเดือน และย้ายไปนิว ซีแลนด์ ในปี 2006 เพื่อต้องการทำไวน์ (Viticulture & Oenology) ที่ Lincoln University ใน Christchurch
หลังจบการศึกษาทั้งคู่ตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เซ็นทรัล โอตาโก (Central Otago) ทางใต้สุดของเกาะใต้ จากนั้นจึงเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อปูพื้นฐานในอาชีพการทำไวน์ เริ่มที่ไร่ Felton Road เป็นเวลา 2.5 ปี ตามด้วย Mount Edward อีก 4 ปี เดือนกันยายน 2012 เขาตัดสินใจยุติการเป็นลูกจ้าง เพื่อสานฝันของตัวเองให้เป็นจริง
โยชิอากิเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ตามนิสัยของคนญี่ปุ่น เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานกับไวน์เมกเกอร์และเจ้าของไวน์ ที่ผลิตไวน์ในแบบดั้งเดิมหลายคนในหลายประเทศ เช่น Bernhard Huber ใน Baden (เยอรมัน) ในปี 2007 จากนั้นปี 2008 ไปทำงานกับ Tom Lubb & Sam Harrop MW (Domaine Matassa) ใน Roussillon (ฝรั่งเศส) ตามด้วย Jean-Yves Bizot ใน Vosne Romanee (ฝรั่งเศส) ปี 2009 ทำงานกับ Jean-Pierre Frick ใน Alsace (ฝรั่งเศส) เป็นต้น ขณะที่เคียวโกะเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับผู้ผลิตไวน์แบบธรรมชาติในฝรั่งเศส เช่น Phillip Pacalet (โบน,เบอร์กันดี),Julien Guillot (มากง,เบอร์กันดี), Christian Binner (อัลซาส,ฝรั่งเศส) และอื่น ๆ
Sato Wines Ltd. ก่อตั้งในปี 2009 ณ Rockburn Winery ที่ Cromwell พร้อมความตั้งใจจริงที่จะทำไวน์ที่ปราศจากสารเคมีและพึ่งพาอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก โยชิอากิเป็นไวน์เมกเกอร์และทำเองทุกอย่าง โดยมีเคียวโกะเป็นผู้ช่วยพร้อมกับเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ที่ Felton Road
เขาทำกันเพียง 2 คนเท่านั้น การเก็บองุ่นก็จ้างแรงงานในพื้นที่ หรือรับซื้อองุ่นจากไร่ระดับคุณภาพจริง ๆ หยาดเหงื่อแรงงานเริ่มออกผลที่หอมหวาน ด้วยผลผลิตปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) วินเทจ 2009 เพียง 190 ลัง หลังจากนั้นจึงผลิตไวน์ขาวจากปิโนต์ กรีส์ (Pinot Gris) และรีสลิ่ง (Riesling) ปี 2013 ผลผลิตเพิ่มเป็น 1,200 ลัง วินเทจ 2015 เพิ่มเป็น 1,350 ลัง วินเทจ 2016 ขยับเป็น 1,700 ลัง ปัจจุบันส่งไปขายในประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เบลเยี่ยม นอร์เวย์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮ่องกง และไทย
Sato Wines เพิ่งเปิด home vineyard ที่ Pisa ซึ่งเป็นเขตย่อยของเซ็นทรัล โอตาโก เมื่อปี 2016 นี่เอง บนเนินเขาที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 295-345 เมตร เป็นไร่องุ่นที่ไม่ใช้สารเคมีแม้แต่น้อยตั้งแต่การปลูกองุ่นจนถึงกระบวนการผลิตและบรรจุขวด ปัจจุบันปลูกองุ่นและผลิตไวน์จากองุ่นหลายพันธุ์ เช่น Pinot Noir,Chardonnay,Chenin Blanc,Gamay และ Cabernet Franc ในพื้นที่ 3.2 เฮกตาร์ นอกจากการปลูกองุ่นน้อย ประมาณ 5,050 – 5,600 ต้นต่อเฮกตาร์แล้ว ยังวางแผนที่จะปลูกองุ่นไปโอไดนามิกในก่อน 10 ปีนี้ ขณะที่ออร์แกนนิคมีการปลูกบ้างแล้ว
ในเมืองไทยนำเข้าโดยบริษัท BB&B ซึ่งไม่รู้ว่า เพราะปิโนต์ นัวร์ ราคาประมาณ 4,000 บาท ส่วนไวน์ขาวอย่างชาร์โดห์เนย์ เบาะ ๆ ก็ 2,000 บาท เจ้าของบอกว่าขายไม่ได้ก็ดื่มเอง แรก ๆ ก็คิดว่าแพง แต่เพียงแค่ได้ดมครั้งแรก ก็ต้องร้องเฮ้ย !!! นี่มันเบอร์กันดีนี่หว่า ..Sato เป็นไวน์ที่ต้องดื่มสักครั้งในชีวิต …