กลุ่มโรงแรม “เลอบัว โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท” (Lebua Hotel&Resort) จัดงานฉลองครบรอบ 12 ปีการเป็นพันธมิตรกับ “แปร์นอด ริคาร์ด” (Pernod Ricard) โดยแปร์นอด ริคาร์ด ประเทศไทย (Pernod Ricard (Thailand) Limited) พร้อมทั้งฉลองความสำเร็จของห้องอาหารเมซซาลูนา (Mezzaluna) ที่เพิ่งได้รับมิชแลง สตาร์ 2 ดาวเมื่อเร็ว ๆ นี้
ภายในงานประกอบด้วยการสังสรรค์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟหลายรายการ เริ่มจาก งานเลี้ยงช่วงเย็นที่ “ฟรูต อา แปฮรีเอ – ฌูเอต บาร์” (Flûte A Perrier-Jouët Bar) ชอมปาญ บาร์ที่อลังการ ดื่มด่ำชอมปาญ “แปร์ริเอ-ฌูเอต แบลล์ เออปอกซ์ 2011″ (Perrier-Jouët Belle Epoque 2011) ตรงนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญ เพราะวินเทจ 2011 เป็นวินเทจที่ยอดเยี่ยม เพิ่งวางตลาดล่าสุด ไม่สามารถหาได้ที่อื่นนอกจากที่บาร์แห่งนี้เท่านั้น ที่สำคัญชอมปาญถือเป็นเครื่องดื่มเฉลิมฉลองชัยชนะและความสำเร็จ เหมาะอย่างยิ่งกับ 12 ปีการเป็นพันธมิตรของทั้งคู่
ตามด้วยการฉลองครบรอบ 1 ปีของ “อัลเฟรโด 64 – เอ ชีวาส บาร์” (Alfresco 64 – A Chives Bar) บาร์วิสกี้กลางแจ้งที่สูงที่สุดในโลก ลิ้มรสชีวาสรุ่นพิเศษ Chivas Regal Exclusive lebua Blend ต่อด้วย “สุไค โอมากาเสะ” (Sukai Omakase) และ “บาร์ สุไค” (Bar Sukai) ภายในสเตท รูม ชั้น 67 ของเสตท ทาวเวอร์ โรงแรมเลอบัวซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่และแห่งใหม่ของโรงแรม ที่จะมาเสริมความเริดหรูอลังการของเดอะโดม แอท เลอบัว
“แปร์นอด ริคาร์ด เป็นพันธมิตรธุรกิจที่ดีเยี่ยมของเรามาตลอดระยะเวลาหลายปีและมีส่วนสำคัญที่ทำให้ เดอะ โดม แอท เลอบัว มีชื่อเสียงเลื่องลือเฉกเช่นปัจจุบัน เราได้ร่วมมือกันจัดงานที่ยิ่งใหญ่มาแล้วหลายต่อหลายงาน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมกันสานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอนาคต งานครั้งนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองแก่ทุกความสำเร็จที่ผ่านมาของเรา รวมไปถึงความสำเร็จในอนาคตที่กำลังจะมาถึงนี้ด้วย” ดีภัค โอหริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มโรงแรมเลอบัว โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท กล่าว
ขณะที่ เควนติน จ็อบ กรรมการผู้จัดการ แปร์นอด ริคาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรธุรกิจที่เข้มแข็งกับเลอบัว ทำให้แบรนด์ แปร์นอด ริคาร์ด สามารถขยายธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยยอดจำหน่ายที่เติบโตขึ้นกว่าสองเท่าในแต่ละปี และก่อให้เกิดปรากฏการณ์ครั้งสำคัญหลายครั้งในมหานครกรุงเทพฯ และได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติอย่างท่วมท้นหลังการเปิดตัว Flute – A Perrier-Jouët Bar และ Alfresco 64 – A Chivas Bar”
“แปฮรีเอ ฌูเอต แบลล์ เออปอกซ์ 2011″ (Perrier-Jouët Belle Epoque 2011) ที่นำมาเสิร์ฟที่ Flute – A Perrier-Jouët Bar ดังกล่าวนั้น เป็นวินเทจล่าสุดที่ออกสู่ท้องตลาดเมื่อไม่นานมานี้ และแขกที่มาร่วมงานนี้น่าจะเป็นคนไทยกลุ่มแรก ๆ ที่ได้ลิ้มรส ขณะที่วินเทจอื่น ๆ แทบจะหมดไปจากท้องตลาดแล้ว บางส่วนไปนอนสงบนิ่งอยู่ในเซลลาร์ส่วนตัวของคนรักชอมปาญ
Perrier-Jouët ควรออกเสียงว่า “แปฮรีเอ-ฌูเอต” ตัว ë ที่มี 2 จุดอยู่ด้านบนบังคับให้ต้องออกเสียงอักษรตัวต่อมาคือ t ด้วย เป็น “เอต” แต่ถ้าเป็น e ธรรมดาไม่ 2 จุดด้านบน จะออกเสียงว่า “เอต์” คือไม่ออกเสียง t
แอร์เฟ เดส์ฌอมส์ (Hervé Deschamps) ผู้ทำหน้าที่เซลลาร์ มาสเตอร์ (Cellar Master) หรืออีโนโลจิสต์ (Enologist) ของ Perrier-Jouët มานานกว่า 20 ปี กล่าวว่า “Perrier-Jouët Belle Epoque 2011 ผ่านการบ่มเป็นระยะเวลา 5 ปี จนเกิดการพัฒนารสชาติแนวดอกไม้รูปแบบใหม่ ที่ให้รสสัมผัสลื่นคอและกลมกล่อมอย่างน่าอัศจรรย์ มอบความสดชื่นอันน่ารื่นรมย์ด้วยแอซสิดอย่างสมดุล พร้อมสัมผัสอันละเมียดละไมที่สมบูรณ์แบบ”
ขณะที่ Belle Epoque วินเทจ 2011 นั้นฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิอุ่นกว่าปกติต่อเนื่องด้วยฤดูใบไม้ผลิที่ร้อนจัด ทำให้ต้นองุ่นผลิดอกก่อนกำหนด และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม นำไปสู่การสร้างสรรค์ชอมปาญรสเยี่ยมที่มีโครงสร้างสมบูรณ์และสมดุล พร้อมด้วยรสชาติที่สดชื่น รื่นรมย์
แอร์เฟ เดส์ฌอมส์ ยังคงยึดถือธรรมเนียมการผลิต Perrier-Jouët ที่สืบทอดกันมาจากบรรดาเซลลาร์ มาสเตอร์ในอดีต ผสานกับการให้ความสำคัญของการสร้างสรรค์คุณลักษณะเฉพาะตัวของวินเทจ 2011 ด้วยการนำความสดชื่นและสัมผัสที่หรูหราของชาร์โดเนย์ (Chardonnay) 50% มาผสานกับความนุ่มนวลของปีโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) 45% และเสน่ห์อันละมุนละไมของปีโนต์ เมอนิเอร์ (Pinot Meunier) 5% โดยทำให้แอลกอฮอล์ต่ำ เพื่อให้ชอมปาญนี้นำเสนอรสชาติอันน่าหลงใหลและละเอียดอ่อนในทุกสัมผัสตั้งแต่แก้วแรกจนหยดสุดท้าย
“แปฮรีเอ ฌูเอต แบลล์ เออปอกซ์ บรุต 2011″ (Perrier-Jouët Belle Epoque Brut 2011)…สีเหลืองทองสดใสประกายเจิดจ้า แกมเขียวนิด ๆ พรายฟองพวยพุ่งละเอียดยิบ ดมครั้งแรกได้กลิ่นกรุ่นของดอกไม้นานาพันธุ์สมชื่อกับฉลากข้างขวด เช่น กล้วยไม้ ดอกมะนาว ดอกมะนาว ดอกอะคาเซียและดอกมะลิกรุ่น ๆ เจือด้วยกลิ่นหอมนุ่มของพร้อมด้วย น้ำผึ้ง อัลมอนด์สด ส่วนฟรุตตี้ ประกอบด้วย พีช แพร์ เมลอน ส้มไต้หวัน ซีทรัส สไปซีเฮิร์บสด ๆ ยีสต์ แอซสิดค่อนข้างสูงตามสไตล์ไวน์ใหม่แต่เป็นสูงที่นุ่มละมุน ดื่มแล้วสดชื่นและส่งเสริมผลไม้ จบด้วยยีสต์ ดอกไม้ สไปซี ซีทรัส และมิเนอรัล แนะนำให้แช่อุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซนเซียส
Perrier-Jouët เป็นชอมปาญ เฮาส์ (Maison Perrier-Jouët) หรือผู้ผลิตชอมปาญชื่อดังของโลกที่อยู่ในเมืองเอแปร์เนย์ (Épernay) หนึ่งในแหล่งผลิตชอมปาญคุณภาพเยี่ยม ก่อตั้งในปี 1881 โดยปีแอร์-นีโกลาส แปฮรีเอ (Pierre-Nicolas Perrier) พ่อค้าขายจุกคอร์กสำหรับปิดขวดไวน์ ซึ่งแต่งงานกับโฮรเซ อาเดเลด ฌูเอต (Rose Adélaide Jouët) ลูกสาวเจ้าของผู้ผลิตผลิตกัลวาดอส (Calvados) ก่อนจะผลิตชอมปาญโดยนำชื่อและนามสกุลของทั้งคู่มาเป็นชื่อ Perrier-Jouët ดังที่เห็นในปัจจุบัน
Perrier-Jouët มีพื้นที่ปลูกองุ่น 266 เอเคอร์ในแคว้นชอมปาญนั่นเอง ในจำนวนนี้ประมาณ 160 เอเคอร์ เป็นพื้นที่ในเขตกรองด์ ครูส์ (Grand Crus) 2 แห่งคือ Cramant และ Avize ผลิตชอมปาญทั้งมีวินเทจ (Vintage) และนอน วินเทจ คูเว (Non Vintage Cuvee) โดยมีรุ่นพิเศษสุดชื่อ Belle Epoque รวมผลผลิตปีละประมาณ 3,000,000 ขวด
ปี 1902 Perrier-Jouët ร่วมมือกับเออมีล กัลเล (Emile Gallé) ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่มีผลงานโดดเด่นด้านการทำลวดลายบนแก้ว ออกแบบลวดลายดอกไม้ทะเลให้กับชอมปาญรุ่น Belle Epoque หลังจากนั้น Perrier-Jouët ก็ได้ทำงานร่วมกับศิลปินชั้นครูและศิลปินหน้าใหม่อีกมากมาย เช่น Daniel Arsham, Noé Duchaufour-Lawrance, Miguel Chevalier, Makoto Azuma,Tord Boontje, Studio Glithero,Simon Heijdens,Tord Boontje, Vik Muniz, mischer’traxler, Ritsue Mishima และ Andrew Kudless เป็นต้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความยิ่งใหญ่แห่งมิตรภาพของ เลอบัว โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท กับ แปร์นอด ริคาร์ด เป็นส่วนสำคัญในการพลิกโฉมวงการโรงแรม เครื่องดื่ม อาหาร และบาร์ ระดับหรูหราในเมืองไทย.