“The greatest number of famous faces per square meter.”
ครั้งหนึ่งที่ Figaro หนังสือพิมพ์รายวันของฝรั่งเศส กล่าวถึงบรรยากาศซัมเมอร์ของ แซงต์ โตรเปซ์ (St.Tropez) เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้เป็นที่ปรารถนาของผู้คนทั่วโลกที่จะมาเยือนสักครั้ง
ผมไป St. Tropez ครั้งนี้เพื่อร่วมการแข่งขันบาร์เทนเดอร์รายการยิ่งใหญ่ของโลก “Diageo Reserve World Class 2013 : The World Class Global Final 2013” ซึ่งถูกจัดขึ้นบนเรือสำราญ Azamara Club Cruises ความจุกว่า 600 คน ถูกเหมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ มีผู้ผ่านการคัดกรอง 44 คน จากทั่วโลกรวมทั้งแชมป์จากประเทศไทย
วันที่ 3 ของการแข่งขันเรือ Azamara เทียบท่าที่ St.Tropez ให้ผู้แข่งขันขึ้นฝั่งพร้อมเงิน 30 ยูโร เพื่อหาซื้อส่วนผสมหรือเครื่องปรุงในตลาดนัดวันเสาร์ (St.Tropez Street Market) ตามเวลาที่กำหนด จากนั้นกลับมาขึ้นเรือเพื่อทำค็อกเทลสูตรพิเศษของแต่ละคนภายในเวลาที่กำหนด ผมก็เลยถือโอกาสขึ้นฝั่งดอดไปเยี่ยมชม St.Tropez Street Market ด้วย
St.Tropez ที่ชาวฝรั่งเศสออกเสียงว่าแซงต์ ตรอป อยู่ในแคว้นโกต ดาซูร์ (Cote d’Azur) ทางใต้ของฝรั่งเศส บริเวณที่เรียกว่า French Riviera สามารถเดินทางได้หลายทางยกเว้นเครื่องบิน เพราะไม่มีสนามบิน ต้องไปลงเมืองข้าง ๆ แล้วต่อพาหนะอย่างอื่น ใกล้ที่สุดคือสนามบิน La Môle ที่อยู่ห่างจากตัวเมือง St.Tropez ประมาณ 15 กม. ส่วนผมบินจากไทยไปลงที่ซูริค,สวิส แล้วต่อเครื่องไปลงที่เมืองนีซ (Nice) เพื่อไปลงเรือ Azamara ซึ่งจอดรอที่ท่าเรือเมืองนี้
ผมคุยกับคนที่นั่นเขาแนะนำว่า ถ้าเบี้ยน้อยหอยน้อยควรไปในช่วงโลว์ซีซั่น (Low Season) ประมาณเดือนเมษายน – พฤษภาคม และกันยายน – ตุลาคม เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะถูกกว่าในช่วงไฮจ์ ซีซัน (High Season) ที่อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ซึ่งต้องยก St.Tropez ให้กับบรรดามหาเศรษฐี ไฮโซ ดารา นักร้อง นางแบบ นักกีฬา ฯลฯ
จากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่คนสเปนเรียกว่าซาน โตรเปซ (San Tropez) เคยเป็นที่พำนักของคนดังของโลกอย่าง Henri Matisse นักวาดภาพสีน้ำมันชื่อดังของฝรั่งเศส,Paul Signac นักวาดภาพแนว neo-impressionist , Picasso คนนี้แทบไม่ต้องบอกว่าคือใคร, Francoise Sagan นักเขียนบทละครและบทภาพยนตร์,Jacques Prévert กวีและนักเขียนบทภาพยนตร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ที่จะขาดไม่ได้และอาจถือเป็นตำนานหน้าหนึ่งของ St.Tropez ก็คือบริจิตต์ บราโดต์ (Brigitte Bardot) นักแสดง นักร้อง และนางแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศส เจ้าของฉายา “นางเเมวยั่วสวาท” ปัจจุบันอายุย่าง 80 ปี ผู้ทำให้หมู่บ้านประมงแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์บนดิน โดยเฉพาะหลังจากหนัง And God Created Woman ที่เธอนำแสดงและถ่ายทำที่นี่ปรากฏต่อสายตาชาวโลก ปัจจุบันแกลเลอรีชื่อดัง Sasha de St.Tropez ยังมีภาพเขียนของเธอในอิริยาบถต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวซื้อกลับไปเชยชม นอกจากนั้นยังมีรูปของคนดัง ๆ มากมาย
Sasha de St.Tropez อยู่บนถนน Place de l’Ormeau ซึ่งมุ่งตรงไปยัง Saturday Market เป็นถนนขนาดเล็กและห้ามรถเข้า หาไม่ยากจากท่าเรือเดินเลาะตามชายฝั่งมาเรื่อย ๆ จนถึงหัวมุมขวามือมีร้าน Hermesขนาดใหญ่ข้ามถนนตรงนั้นเลย ที่จริงซอยอื่นก็เข้าได้แต่จะอ้อมไกล สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงกวักมือเรียกตังค์ในกระเป๋านักท่องเที่ยวอยู่ไหว ๆ มีทั้งแบรนด์เนมระดับโลกและพื้นเมือง ร้านเล็กร้านน้อย Louis Vuitton ก็อยู่กลาง ๆ ซอย
เดินชมโน่น ดูนี่ ไปเรื่อย ๆ ตามสองข้าง Place de l’Ormeau สนใจอะไรควรหมายตาไว้ก่อน ขากลับค่อยมาซื้อ เพราะท่านอาจจะถูกใจหลาย ๆ อย่างใน Saturday Market เมื่อสุดซอยด้านขวามือมีร้านประเภท Bar & Brasserie 2 ร้าน ๆ แรกอยู่หัวมุมชื่อ Le Clemenceau ถัดไปเป็นร้าน Le Sporting บรรยากาศดี มองเห็นผู้คนที่เดินไปมาในตลาดได้อย่างเพลิดเพลิน ถัดจาก 2 ร้านนี้ไปจะเป็นมินิมาร์ตติดแอร์ชื่อ Spar ซึ่งผมซื้อของขบเคี้ยวและน้ำดื่มในนี้ถูกกว่าข้างนอก
St.Tropez Saturday Market เป็นตลาดวันหยุดที่ใหญ่ที่สุดของ St.Tropez แยกเป็น 2 ฝั่งมีถนนเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายโซนแรกส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทผักสด ผลไม้ เนื้อสด ต่าง ๆ ขนมปัง เครื่องเทศ ไม้ดอกไม้ประดับ ดอกไม้สด ฯลฯ เห็นพืช ผัก ผลไม้ที่นี่แล้วรักประเทศไทยขึ้นอีกเยอะ เพราะราคาแพง เช่น กล้วยหอม 1 หวี 5-6 ลูกราคา 3.25 ยูโร หรือ 140 กว่าบาท บ้านเรากล้วยหอมทองลูกสวย ๆ 5-6 ลูกอย่างมากก็ 40-50 บาท ขณะที่เชอร์รีกิโลละ 5.95 ยูโร ประมาณ 260 กว่าบาท เป็นต้น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องของค่าครองชีพของแต่ละประเทศ ถ้าอยากรู้ อยากเห็น เป็นประสบการณ์ของชีวิตก็ซื้อเลย
โซนด้านหลังจะเป็นพวกของแห้ง เช่น สินค้าหัตถกรรม ของเก่า ๆ เสื้อผ้า เครื่องประดับแบบโอทอป งานศิลปะแขนงต่าง ๆ เครื่องครัว หนังสือ ฯลฯ หมวกปานามาแท้ ๆ ก็มีขายใบละ 100 กว่ายูโร มีอยู่ 2 -3 ร้านที่ขายสินค้าแบรนด์เนมมือ 2 โดยเฉพาะ Louis Vuittonเยอะที่สุด มีตั้งแต่กระเป๋าสะพายไปจนถึงกระเป๋าเดินทาง และถุงกอล์ฟ แต่ดูสภาพแล้วเยิน ๆ คอแบรนด์เนมบอกว่าเมื่อเทียบสภาพกับราคาแล้วที่ญี่ปุ่นดีกว่าเยอะ คนฝรั่งเศสส่วนหนึ่งไม่ได้คิดว่าของเหล่านี้เป็น Luxury Brand เงินที่ได้มาจากการทำงาน ก็แบ่งมาซื้อแบรนด์เนม ซึ่งเขาใช้จริง ๆ
ขณะที่ฝั่งขวามีโซนเดียวโดยด้านหน้าจะเป็นอาหารการกิน ผักและผลไม้สดเล็กน้อย ของหมักดองตามสไตล์ฝรั่งเศส แฮม ถั่วต่าง ๆ หอม กระเทียม ฯลฯ กระเทียมโปรวองซ์ (Provence) หัวใหญ่กิโลละ 6.5 -10 ยูโรเลยทีเดียว ถัดไปด้านหลังส่วนใหญ่เป็นของตกแต่งบ้าน ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าม่าน อุปกรณ์ในห้องน้ำ ห้องครัว ฯลฯ หลายอย่างสวยถูกใจ แต่เมื่อคิดถึงการขนกลับมาเมืองไทยแล้วจำต้องตัดใจ มุมหนึ่งเป็นอาหารการกินประเภทปรุงสด ๆ เดี๋ยวนั้นเลย ซื้อแล้วเดินกิน หรือซื้อกลับบ้านก็ได้ ไก่ย่างเสียบไม้หมุนแบบบ้านเราก็มี คนขายใจดีเห็นผมถ่ายรูปยังตัดมาให้ชิม เป็นไก่ย่างสไตล์โปรวองซาล พื้นเมืองของฝรั่งเศส กินแล้วนึกถึงน้ำจิ้มแจ่ว…
St.Tropez Saturday Market เริ่มวายในตอนบ่ายแก่ ๆ สีสันก็ขยับขยายมาอยู่ตามชายหาด แหล่งชอปปิ้ง ร้านอาหารการกิน ร้านกาแฟ ฯลฯ ช่วงที่ผมไปนั้นแม้จะมีลมแรงแต่อากาศค่อนข้างร้อน ฝรั่งวิ่งใส่ คนไทยวิ่งหลบ
เรือสำราญลำหรูหลายขนาดหลากรูปแบบ จอดเรียงรายอยู่ริมท่าเรือส่วนตัว บ่งบอกถึงราคาค่างวดมหาศาล สีสันของเรือสะท้อนกับพื้นน้ำ ผสานกับแสงเงาของตึกรามบ้านช่องทรงแคลซสิคริมทะเล บ่งบอกถึงความหรูหราอลังการของเมืองตากอากาศแห่งนี้ บางคนบอกว่าดูผิวเผิน จะเป็นที่ทีสงวนไว้สำหรับดารา นางแบบ นักนักร้อง นักกีฬา มหาเศรษฐี และปาปารัซซีที่มาแอบถ่ายคนดังเอารูปไปขาย เพราะคนเหล่านี้มีกำลังจ่าย ทั้งค่าเครื่องบินส่วนตัว เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว เรือยอชต์ โรงแรมห้าดาว รถยนต์ราคาแพงที่จะใช้โฉบเฉี่ยวอวดสายตาผู้คน รวมทั้งแชมเปญที่แทบจะดื่มแทนน้ำ
Saint Tropez เป็นเมืองตากอากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการแฟชั่นชั้นนำของโลก ซึ่งว่ากันว่านักออกแบบดัง ๆ หลายคนได้แรงบันดาลใจจากพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ขณะเดียวกันเหล่าคนดังทุกวงการ ถ้าไม่ได้มาเหยียบย่าง Saint Tropez คงคุยไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก ขณะเดียวกันยังเป็นเมืองในฝันของเหล่าคนดัง ที่มาใช้ชีวิตฟู่ฟ่า ช้อปปิ้งตามบูติกหรูหราเรียงราย ตามริมหาด หรือบนเรือสำราญที่ทอดสมอเรียงรายทั้งในทะเลและตามชายฝั่ง
ผมคุยเจ้าหน้าที่วัยดึกคนหนึ่งของโรงแรม Hotel de Paris บอกว่าถ้าอยากดูสาว ๆ ประชันหุ่นกันก็ต้องมาช่วง High Season เพราะช่วงนั้นอากาศอบอุ่นจนถึงร้อน …….”ริมชายหาดเนี่ย เต็มไปด้วยลูกมะพร้าวขาวจั๊ว เชียวละคุณเอ๊ย !!..” ผมทำท่าสงสัย….”ก็ก้นและหน้าอกของสาว ๆ ไงล่ะ 5555…” อารมณ์ขันของชาว Saint Tropez ไม่เบาเลย แต่ก็ทำให้หนุ่มไทยน้ำลายสออยากชิมมะพร้าวทันที….
เจ้าหน้าที่คนเดิมยังบอกอีกว่า….”ยูมาแค่ 2-3 ชั่วโมงนี่สิว ๆ อย่างน้อยต้องเป็นสัปดาห์…” ได้แต่นึกในใจถ้ามา 1 สัปดาห์ข้าคงต้องไปขายนาเป็นสิบไร่ …..เหล่าเศรษฐีและคนดังมักจะวางโปรแกรมมากันเป็นอาทิตย์ และโรงแรมแรกที่ต้องพักให้ได้คือ HotelByblos อยู่ริมท่าเรือนั่นเอง ผมได้แต่ด้อม ๆ มอง แหย่เท้าเข้าไปข้างหนึ่ง เป็นบูติกโฮเต็ลที่หลายคนชื่นชอบ เช่น เจ้าชายวิลเลียม,ปารีส ฮิลตัน และนาโอมิ แคมป์เบลล์ บาร์ที่โด่งดังของของโรงแรมนี้ชื่อ Cave du Roy แต่ถ้าพลาดก็ม โรงแรม Pan Dei Palais ที่ถือว่าพักแล้วไม่อายใคร
พูดถึงบาร์หรือคลับชื่อดังมา Saint Tropez ถ้าไม่แวะไป Nikki Beach ถือว่ายังไม่ถึงเพราะนี่คือต้นแบบของบีชคลับ “สถานที่พักผ่อนที่เซ็กซี่ที่สุดของโลก” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ที่หรูหราอันดับหนึ่ง ในระดับ 5 ดาว ปัจจุบันมีอยู่ใน 9 เมืองใหญ่ จาก 6 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งเกาะสมุย ในเมืองไทย และข่าวว่ากำลังจะเปิดที่ภูเก็ต
ถ้าพลาดจาก Nikki Beach ก็ต้อง Nioulargo แต่อันนี้เป็นเป็นไพรเวต คลับ สำหรับสมาชิกเท่านั้น ถ้าไม่ได้เป็นสมาชิกก็ซิกแซกด้วยการจองโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารซึ่งมีอยู่ 2 ร้าน ฝรั่งเศสและ Indo Chinese อาหารเอเชียทั้งหลายแหล่ ความพิเศษของที่นี่คือจะมีแฟชั่นโชว์เล็ก ๆ มีนางแบบ นายแบบ เดินโชว์สินค้าประเภทบูติค เพลินตาเพลินใจ ใครจะนั่งจิบแชมเปญ ฟังเสียงคลื่น ก็มีบริการด้วย
มีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้านที่แนะนำว่ามาแล้วไม่ควรพลาด ชื่อร้าน Le Caprice des Deux อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ร้านเปิดเมื่อปี 1994 อยู่ในซอยเล็ก ๆ คล้ายกับเอาบ้านประมงมาทำร้านอาหาร บรรยากาศโคซี อาหารอร่อยโดยเฉพาะประเภทปลา
ร้าน Le Quai Joseph อยู่ริมถนนซึ่งข้ามไปก็เป็นท่าเรือ ขายอาหารนานาชาติ ตั้งแต่ยุโรปจนถึงญี่ปุ่น และอินโด-ไชนา ผมชอบร้านนี้เพราะมีแชมเปญให้เลือกเยอะและราคาไม่แพง มีดนตรีสดด้วย โต๊ะหน้าร้านมักจะเต็มตลอดเพราะลูกค้าชอบนั่งดูผู้คนเดินผ่านไปมาและความงดงามของอ่าวยามค่ำคืน รวมทั้งสีสันจากเรือที่แต่ละลำตกแต่งอย่างอลังการงานวัด….
ร้านอื่น ๆ เช่นร้าน Spoon โดยเชฟมิชแลง สตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอแลง ดูกาส (Alain Ducasse) อยู่ในโรงแรม Byblos เป็นอาหารฝรั่งเศสและเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนท่านที่ชอบของหวานต้องไปร้าน La Tarte Tropezienne ขนมทาร์ตของร้านนี้ชื่อดังมากชื่อ Tarte Tropezienne มีให้เลือกหลายไส้
มา Saint Tropez ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า โดยเฉพาะขาปาร์ตี้ทั้งหลาย เพราะแต่ละร้านจะมีธีมปาร์ตี้ที่ไม่เหมือนกัน สามารถปาร์ตี้ได้ทุกคืนไม่มีเบื่อ ตื่นมาอีกทีก็กินบรั้นช์เลย จากนั้นค่อยหาวิธีและสถานที่หลั่นล้ากันต่อ…!!!!!!!!