…”After the first glass you see things as you wish they were.After the second, you see things as they are not.Finally you see things as they really are,
and that is the most horrible thing in the world.”
…คำกล่าวของ “ออสการ์ ไวลด์” (Oscar Wilde) นักเขียนบทละครและกวีคนดังชาวไอริช นอกจากจะชอบดื่มแชมเปญเย็นๆ แล้ว เขายังผูกพันกับ “อับแซงธ์” (Absinthe) เหล้าดีกรีแรง !!
…”หลังกระดกอับแซงธ์แก้วแรกคุณยังเห็นสิ่งต่าง ๆ ในแบบที่มันเป็น หลังแก้วสองจะเห็นต่างออกไป สุดท้ายแล้วจะกลับไปเห็นแบบที่มันเป็น และมันก็น่ากลัวเหลือเกิน”
Absinthe เป็นเหล้าที่กลั่นจากเฮิร์บหลายชนิด เช่น ดอกและใบของ Artemisia absinthium,เมล็ดเทียนสัตตบุษย์,เมล็ดยี่หร่าฝรั่ง และสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ที่ใช้เป็นยาหรือทำอาหาร เดิมมีสีเขียวตามธรรมชาติ (แต่อาจไม่มีสีก็ได้)
วรรณคดีตะวันตกเรื่องต่าง ๆ มักเรียกเหล้าชนิดนี้ว่า “เจ้าภูตเขียว” หรือ “ปีศาจสีเขียว” (La fée verte หรือ The green fairy) ส่วนคนที่ชอบบอกว่าอับแซงธ์เป็น “แม่เทพธิดาสีเขียว” จากการที่เป็นเหล้าสีเขียวที่งดงามแต่ซุกซ่อนความลึกลับชวนหลงใหล จิบเพียงจิบเดียวจะทำให้เคลิบเคลิ้ม จิบต่อ ๆ มาจะทำให้หลงเพ้อเหมือนมีเทพธิดาจำแลงมานั่งคุยอยู่ข้าง ๆ
“อับแซงธ์” เป็นที่นิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิยมกันมากในหมู่ศิลปิน กวี นักเขียน กลุ่มโบฮีเมียนในปารีส ส่วนหนึ่งเพราะสีมรกตงดงามดังกล่าว ส่วนหนึ่งเพราะวิธีการดื่มซึ่งต้องหยดน้ำผ่านก้อนน้ำตาลลงในแก้วซึ่งอับแซงธ์รออยู่
นักเขียน กวี จิตรกร และนักประพันธ์ดนตรีหลายคนต่างเป็นนักดื่มอับแซงธ์ เช่น เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์,เจมส์ จอยซ์,ชาร์ล โบดแลร์,ปอล แวร์แลน,อาร์ตูร์ แร็งโบ,อองรี เดอ ตูลูซ-โลแทร็ก,อาเมเดโอ โมดิลยานี,ปาโบล ปีกัสโซ,ฟินเซนต์ ฟัน โคค,ออสการ์ ไวลด์,มาร์แซล พรุสต์,แอลัสเตอร์ โครว์ลีย์,เอริก ซาตี,เอดการ์ แอลลัน โพ,ลอร์ด ไบรอน และอาลแฟรด ฌารี เป็นต้น
สมัยก่อนมีเรื่องเล่ากันว่าสาเหตุที่ฟินเซนต์ ฟาน โคค (Vincent Willem van Gogh) ศิลปินเอกของโลกชาวเนเธอร์แลนด์ เฉือนหูซ้ายของตัวเอง เป็นผลมาจากเครื่องดื่มชนิดนี้ ต่อมามีการพิสูจน์ออกมาว่าที่เขาตัดหูนั้น ไม่เกี่ยวกับ “อับแซงธ์” แต่อย่างใด
“อับแซงธ์” มีต้นกำเนิดในรัฐเนอชาแตลของสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ปรากฏตามลายลักษณ์อักษรว่าถูกคิดค้นขึ้นโดย ปิแยร์ โอร์ดิแนร์ (Pierre Ordinaire) นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ที่เปิดคลินิกอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะเปลี่ยนมือและถูกนำไปกลั่นขายโดยนายทหารยศพันตรี โดยขายเป็นเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 1805
คำว่า Absinthe เป็นคำยืมมาจากภาษาละติน “Absinthium” ซึ่งแผลงมาจากภาษากรีก “Apsínthion” แปลว่า “ไม่สามารถดื่มได้” นอกจากนั้นยังมีความหมายถึงต้น “วอร์มวู้ด” (Wormwood)
การใช้ วอร์มวู๊ดในการทำเครื่องดื่มนั้น ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในบทกวีชื่อ De Rerum Natura ของลูเครเตียส นักปรัชญาและนักกวีชาวโรมันในยุคก่อนคริสตกาล ในบทกวีกล่าวว่า “เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวอร์มวู้ดนั้นใช้เป็นยาสำหรับเด็ก ใส่ในถ้วยที่มีน้ำผึ้งทาอยู่บนขอบเพื่อให้สามารถดื่มได้ง่าย” ดังนั้นการเสิร์ฟ Absinthe จึงมีน้ำตาลกรวดเป็นส่วนประกอบด้วย
ความแรงดีกรีของอับแซงธ์อยู่ระหว่าง 50–75 ดีกรี แต่ส่วนมากจะกลั่นที่ 60 ดีกรี ประกอบกับมีสารธูโจน (Thujone) ที่สกัดมาจากสมุนไพรชนิดหนึ่งมีรสขม มีฤทธิ์ต่อระบบสมองและประสาท จนได้รับการพรรณนาว่าเป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและสารก่อประสาทหลอนที่มีอันตรายมาก เมื่อถึงปี 1915 อับแซงธ์ถือเป็นของต้องห้ามในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในยุโรปรวมถึงฝรั่งเศส,เบลเยียม,เนเธอร์แลนด์,สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย-ฮังการี
แม้ว่าอับแซงธ์จะถูกกล่าวหาเช่นนั้น แต่ก็ไม่เคยมีการพิสูจน์ให้เห็นจริงว่ามีอันตรายมากกว่าเหล้าธรรมดาแต่อย่างใด ประกอบกับผลการวิจัยในยุคหลังแสดงให้เห็นว่าในอับแซงต์มีสารธูโจนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสมบัติการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทของอับแซงธ์(นอกเหนือจากที่มีอยู่ในแอลกอฮอล์) ก็ถูกขยายให้เกินความจริง
การฟื้นฟูการผลิตอับแซงธ์เริ่มต้นในทศวรรษ 1990 หลังจากมีการประกาศใช้กฎหมายอาหารและเครื่องดื่มของสหภาพยุโรปซึ่งกำจัดอุปสรรคที่มีมายาวนานต่อการผลิตและการจำหน่าย ทำให้ต้นศตวรรษที่ 21 มีอับแซงธ์เกือบ 200 ยี่ห้อถูกผลิตในประเทศต่าง ๆ ประมาณ 12 ประเทศ ที่เด่นที่สุดได้แก่ ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์,ออสเตรเลีย,สเปน และเช็ก
ที่สร้างความฮือฮาคือเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา บริษัท Lollyphile เจ้าแห่งลูกอมรสชาติพิลึกกึกกือ แห่งซาน ฟรานซิสโก ได้ผลิตลูกอมรสชาติ “อับแซงธ์” (Absinthe) ทำจาก Absinthe ล้วน ๆ แต่ไม่ต้องกลัวว่าอมและดูดแล้วจะเหมือนดื่มเหล้า Absinthe เพราะแอลกอฮอล์บางส่วนสลายไปในช่วงกระบวนการผลิต เหลือแต่สารธูโจนที่ถือเป็นเสน่ห์ของ Absinthe ไม่เกิน10 มิลลิกรัมตามมาตรฐาน อย.สหรัฐ เรียกว่าอมและดูดแล้ว เพียงเคลิ้ม ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งมวลนี้ จุดประสงค์เพื่อการศึกษาหาความรู้ มิได้มีเจตนาชักชวนให้ดื่ม ประการสำคัญยิ่งแอลกอฮอล์แรง ๆ ยิ่งต้องระวัง !
*************