“เฟรนช์ ไดอะลอก”
เกรย์ กูสค็อกเทลจับคู่อาหาร
การจับคู่เครื่องดื่มกับอาหาร เป็นศาสตร์และศิลป์ที่เรียนรู้ที่ไม่จบ เพราะอาหาร
ที่เห็นส่วนใหญ่เป็นไวน์กับอาหาร “ค็อกเทล” ก็เป็นเครื่องดื่มอีกอย่างหนึ่งที่มีความพยายามในการจับคู่กับอาหารมากขึ้น ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีนอกจากจะทำให้ผู้บริโภคได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ แล้ว ยังเป็นการเปิดโลกเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัท บาคาร์ดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าเกรย์ กูส (Grey Goose) วอดก้าระดับซูเปอร์พรีเมียมของโลก ได้จัดงาน Grey Goose Secret Journeys ซึ่งเป็นแค
มเปญระดับโลก จัดมาเป็นปีที่ 3 รังสรรค์ดินเนอร์สุดหรู พร้อมนำค็อกเทลรสเลิศอันโด่งดังในอดีตมาปรับสูตรใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ “เฟรนช์ ไดอะลอก”(French Dialogue) ที โรงแรม
แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ โดยจำลองห้องบอลรูมให้เป็นห้องโถงหรูหรางดงามในพระราชวังฝรั่งเศส ยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของศิลปะ ขนบธรรมเนียมและแฟชั่นชั้นสูงแนวบาโรคและร๊อคโคโค ผสมผสานกับแนวคิดร่วมสมัยสุดหรูตามสไตล์เกรย์ กูสได้อย่างลงตัว พร้อมการแสดงหลากหลาย
“เกรย์ กูส” (Grey Goose) เป็นวอดก้าสัญชาติฝรั่งเศส เกิดขึ้นจากความคิดของซิดนีย์ แฟรงค์ (Sidney Frank) ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท Sidney Frank Importing Co (SFIC) จุดประกายขึ้นในปี 1996 เพื่อผลิตวอดก้าคุณภาพระดับพรีเมียมสำหรับตลาดสหรัฐ ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว จนถูกจัดอยู่ในตลาดระดับซุปเปอร์ พรีเมียม (Super Premium) หลังจากนั้นจึงมาจับมือกับหุ้นส่วน ฟรังซัวส์ ธีโบลต์ (Francois Thibault) ซึ่งเป็นลูกชายของไวน์เมกเกอร์ในคอนยัค (Cognac) เพื่อต้องการผลิตวอดก้าที่มีกลิ่นอายของคอนยัค
Grey Goose ใช้น้ำแร่จากแหล่งในแคว้นแชมเปญ (Champagne) ข้าวสาลีคุณภาพเยี่ยมซึ่งปลูกในปิการ์ดีย์ (Picardy) ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสและเหนือแคว้นชอมปาญเล็กน้อย จากนั้นส่งไปยังเมืองคอนยัคเพื่อเบลนด์กับน้ำแร่และบรรจุในขวด ซึ่งเป็นสีควันไฟ ฉลากเป็นรูปห่านบินเหนือเทือกเขาแอลป์
ปี 1998 Grey Goose ได้รับรางวัล Best tasting vodka in the world โดยสถาบัน Beverage Testing Institute ขณะที่เดือนสิงหาคม 2004 บริษัทถูกขายให้กับบาคาร์ดี (Bacardi) ด้วยมูลค่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปีนั้นเอง Grey Goose เป็นพรีเมียม วอดก้าที่ขายดีทีสุดในสหรัฐ ประมาณ 1.5 ล้านลัง
งาน Grey Goose Secret Journeys “French Dialogue” มิกซ์โซโลจิส ของเกรย์ กูส รังสรรค์ปรับสูตร 6 ค็อกเทลเลิศรสอันโด่งดังในอดีตกาลให้ร่วมสมัยขึ้น เพื่อยกระดับการดื่มค็อกเทลในเมืองไทยสู่ความหรูหราอย่างแท้จริง โดยนำผลิตภัณฑ์จากประเทศฝรั่งเศสคือ เกรย์ กูส วอดก้า (Grey Goose Vodka),แซงต์ แยร์แมง เอลเดอร์ฟาวเวอร์ ลิเคียว (St.Germain Elderflower Liqueur) และนอยลี แพรต เวอร์มุต (Noilly Prat Vermouth) มาเป็นส่วนผสม เพื่อสร้างสุนทรียะในการดื่ม และคงเอกลักษณ์ของเครื่องดื่มนั้นๆ ไว้อย่างลงตัว รับประทานคู่กับเมนูที่คิดค้นโดยเชฟชาวฝรั่งเศสของโรงแรม
แก้วแรก เกรย์ กูส ดันฌูร์ (Grey Goose D’Anjou) หอมหวานและนุ่มนวลกรุ่นกลิ่นความเป็นไทยด้วยการใส่ชาไทยและผลไม้ เติมแต่งความนุ่มละมุนด้วยฟองไข่ขาวและครีมที่ผ่านการเชคด้วยความเร็วและแรงอย่างต่อเนื่อง 12 นาที ตามแบบฉบับ “รามอซ จิน ฟิซซ์” (Ramoz Gin Fizz) คลาสสิคค็อกเทลที่โด่งดังในปี 1880 เติมแต่งด้วยแซงต์ แยร์แมง เอลเดอร์ฟาวเวอร์ ลิเคียว เพื่อให้ได้กลิ่นหอมรัญจวน จับคู่กับขนมปัง 2-3 ชนิดที่ช่วยทำให้ความหวานของค็อกเทลซอฟต์ลง ผมชอบคู่นี้มากที่สุด ได้บรรยากาศเหมือนอดีตที่หลาย ๆ คนเคยกินขนมปังปิ้งกับชาเย็น
แก้วที่ 2 เกรย์ กูส ซิลเวอร์ ลินเนิน (Grey Goose Silver Linen) ค็อกเทลที่นำ “มอสโคล มูล” (Moscow Mule) วอดก้า ค็อกเทลชื่อดังมาเสริมเติมแต่งใหม่ในแบบเฉพาะเกรย์ กูสคือเติมเหล้าหวานกลิ่นขิง และแอปเปิ้ล สปาร์คกิ้ง เพื่อให้มีความฟรุตตี้และความซ่าสดชื่น เสิร์ฟในแก้วโลหะ ดื่มแล้วสดชื่น จับคู่กับสลัด Prawns salad with blossoms and greens citrus dressing and golden toasts คู่นี้ก็ดีความซ่าของสปาร์คกลิ้ง ฟรุตตี้ และความสดชื่นของค็อกเทลส่งเสริมกับสลัดกุ้งได้ดี
แก้วที่ 3 เกรย์ กูส แองเจลีค (Grey Goose Angelique) ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “แบมเบิ้ล” (Bramble) ค็อกเทลที่มีแบล็คเบอร์รี่เป็นเบส (Blackberry-based) และจิน (Gin) เป็นเหล้าหลัก ปรับสูตรโดยใช้เป็นวอดก้า เกรย์ กูส แทนจินเพื่อให้ได้รสสัมผัสนุ่มลึกของเกรย์ กูส ผสานกับความสดชื่นหอมหวานของผลไม้ คือแบล็คเบอร์รี่ และไซรัปผลไม้ จับคู่กับ Lobster bisque and lemon foam ซุปกุ้งล็อบสเตอร์ คู่นี้ถ้าซุปเย็นไปหน่อย เพราะเมื่อซดกับค็อกเทลที่เย็น อุณหะภูมิของซุปจะเย็นลงอีกทำให้จืดชืด เพราะ Lobster bisque เป็นซุปที่ต้องกินร้อน ขณะเดียวกันความอุ่นของน้ำซุปจะช่วยส่งเสริมกลิ่นวอดก้า
ก่อนถึงเมนคอร์สเป็นค็อกเทลพิเศษ เพื่อปรับบรรยากาศของปากและลิ้นคล้ายกับการเสิร์ฟซอร์เบ (Sorbet)ก่อนเมนคอร์ส เกรย์ กูส อามัวร์ รูจ (Grey Goose Amour Rouge) ค็อกเทลสีแดง (Rouge) ที่ปรับสูตรมาจาก “เคียร์ รอยัล” (Kir Royal) ค็อกเทลชื่อดังที่ใช้แชมเปญเป็นหัวใจสำคัญ นำมาเพิ่มรสสัมผัสของเกรย์ กูส เติมความเปรี้ยวหวานด้วย Crème de Cassis ไซรัปวานิลลาและเลมอน เหยาะแครนเบอร์รี่บิตเตอร์ และออน ท็อปด้วยโซดาเพื่อความสดชื่น
เกรย์ กูส โบฟอร์ต (Grey Goose Beaufort) เสิร์ฟกับเมนคอร์ส ได้แรงบันดาลใจมาจาก เพอร์เฟค เนโกรนี (Perfect Negroni) ที่โด่งดังในช่วงปี 1919 และถูกขนานนามว่าเป็น King of Aperitifs หรูหราและหนักแน่นใช้เกรย์ กูส เป็นเบส แทนจิน (Gin) เพิ่มความนุ่มละมุนยิ่งขึ้นด้วยการนำ นอยลี แพรต เวอร์มุต และไซรัปมะตูม มาผสมผสานได้อย่างลงตัว และยังคงความดราย จับคู่กับ White asian seabass,baby vegetables seawed and ginger lemon beurre blanc ปลากะพงเนื้อนุ่มหอมกรุ่น คู่นี้ค็อกเทลหนักกว่าอาหารพอสมควร ที่สำคัญขาดแอซสิดหรือความเปรี้ยวไปนิดที่จะมาส่งเสริมกับเนื้อปลา
สุดท้ายก่อนอำลา เกรย์ กูซ รอยัล (Grey Goose Royale) ค็อกเทลที่ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากค็อกเทลในอดีตคือ “ทเวนทิอิธ เซนชูรี” (Twentieth Century) มีหนักแน่น ดราย แต่นุ่มละมุนด้วยความหอมหวาน ตกแต่งขอบแก้วหรูเริดด้วยทองคำเปลว ถั่วพิสตาชิโอ และอัลมอนด์ จับคู่กับของหวาน Peach and liquorice vacherin คู่นี้เข้ากันและส่งเสริมกันได้ดี
Grey Goose Secret Journeys “French Dialogue” …บนการเดินทางสายฝรั่งเศสที่ลึกล้ำของค็อกเทลกับอาหาร….!!!
