3 จินคุณภาพ
ผ่อนคลายอากาศร้อน
“จิน” (Gin) เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มาแรงในตลาดเมืองไทยในช่วง 2 ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา จาก “จิน โทนิก” (Gin Tonic) ที่คุ้นเคย วันนี้มีเครื่องดื่มหลากหลายที่เกิดจากจิน ด้วยฝีมือของเหล่าบาร์เทนเดอร์ แน่นอนต้องขอบคุณบาร์ (Bar) และผู้นำเข้า (Importer) ทั้งหลายที่ทำให้โลกของจินในเมืองไทยกว้างขวางขึ้น
ช่วงนี้แม้จะเข้าหน้าฝนตามปฏิทิน แต่สภาพอากาศยังร้อนอบอ้าว “จิน” เป็นเครื่องดื่มช่วยผ่อนคลายความร้อนได้ดี อย่างน้อยเมื่อมีจินอยู่ที่บ้าน แค่เติมน้ำโทนิก และน้ำแข็งเย็น ๆ ลงไปก็ได้แล้ว ขอแนะนำจินระดับคุณภาพสัก 3 ยี่ห้อ
แบรนด์แรก “โรกุ จิน” (Roku Gin) เป็นจินในเครือซันโตรี (Suntori) ยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่น ผลิตเมื่อปี 2017 คำว่า “โรกุ” (Roku) ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง 6 นัยมาจากวัตถุดิบ 6 ชนิดของญี่ปุ่นที่ถูกนำมาผลิต ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์สำคัญคือ “ดอกซากุระ” สัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น
วัตถุดิบแต่ละอย่างที่ใส่ลงไปล้วนมีความหมาย โดยเปลือกส้มยูซุ (Yuzu )ให้ความหวานละมุน ผสานให้เกิดความสมดุลด้วยกลิ่นดอกไม้และหวานจากดอกซากุระและชาเซนฉะ ขณะที่พริกไทยญี่ปุ่นหรือ Japanese Sancho Pepper ให้ความสไปซี่ในตอนจบ
ขณะเดียวกันยังสะท้อนบรรยากาศของความเป็น 4 ฤดูกาล เช่น ใบและดอกซากุระ เป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิ ตามด้วยชาเซนฉะ เกียวคุโระ (Gyokuro) เป็นตัวแทนของฤดูร้อน ขณะที่พริกไทยญี่ปุ่นเป็นตัวแทนของฤดูฝน และสุดท้ายเปลือกส้มยูซุเป็นตัวแทนของฤดูหนาว เป็นต้น
ขณะที่กระบวนการกลั่น (Vacuum distillation) ใช้โรงกลั่น ยามาซากิ (Yamazaki Distillery) ซึ่งเป็นโรงกลั่นวิสกี้แห่งแรกของญี่ปุ่น พร้อมกับน้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็น ค่อย ๆ กลั่นอย่างช้า ๆ เพื่อรักษาคุณสมบัติของวัตถุดิบให้มากที่สุด จากนั้นบรรจุขวด 6 เหลี่ยม (Hexagonal bottle) พร้อมข้อความ “The Japanese Craft Gin” ที่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบดั้งเดิม
เทสติ้ง โน้ต (Tasting Note) คร่าว ๆ ของโรกุ จิน จะมีกลิ่นหอมของพืชผัก มิเนอรัลดอกไม้ซึ่งแน่นอนต้องเป็นดอกซากุระ พร้อมกลิ่นหอมกรุ่น ๆ แกมหวานของผลไม้ เช่น แอปริคอต ซีทรัส เลมอน บอดี้นุ่มนวล โครงสร้างสมดุลระหว่างกลิ่นดอกไม้และความหอมหวาน จบยาวด้วยสไปซี่ของพริกไทยญี่ปุ่น เป็นจินที่คอมเพล็กซ์ สมดุล และมีน้ำเนื้อที่หลากหลาย โรกุ จิน อยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดยบริษัท ซันโตรี สปิริต จำกัด (Suntory Spirits Limited) มีบริษัท บีม ซันโตรี (Beam Suntory) เป็นผู้ดำเนินการทางการตลาดและจัดจำหน่าย นำเข้าเมืองไทยโดยบริษัท อินดิเพนเดนท์ ไวน์ แอนด์ สปิริต (IWS)
แบรนด์ที่ 2 “โบตานิสต์ ไอส์ลา ดราย จิน” (Botanist Islay Dry Gin) เป็นหนึ่งในจินที่น่าสนใจ ฉลากระบุว่าเป็น “Islay Dry Gin” ไม่ใช่ “London Dry Gin” เนื่องจากเป็นพรีเมียมจินแห่งเกาะไอส์ลา เกาะเล็ก ๆ มีชื่อเสียงทางด้านการกลั่นวิสกี้ มีโรงกลั่นวิสกี้อยู่ถึง 8 โรง หนึ่งในจำนวนนั้นคือโรงกลั่น “บรูชลัดดิช” (Bruichladdich Distillery) ผู้ผลิตซิงเกิ้ล มอลต์แบบเน้นคุณภาพ
โบตานิสต์ จินจะกลั่น 4 ครั้งกว่า 17 ชั่วโมง ด้วยหม้อกลั่นทองแดง Lomond Still ที่มีชื่อเล่นว่า “ugly betty” โดยมีจิม แม็คอีแวน (Jim McEwen) เป็นผู้ควบคุมดูแลการกลั่นหรือมาสเตอร์ ดิสติลเลอร์ (Master Distiller) มีการคัดเลือกพืชผักสมุนไพรเครื่องเทศกว่า 31 ชนิด ในจำนวนนี้ 9 อย่างเป็นส่วนผสมหลักที่จะเรียกว่าจินได้ ที่เหลืออีก 22 ชนิดเป็นของพื้นเมืองบนเกาะไอส์ลา มาเป็นส่วนผสม ออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 2011
พืชผักสมุนไพรเครื่องเทศดังกล่าวประกอบด้วย Angelica root, apple mint, birch leaves, bog myrtle leaves, cassia bark, chamomile, cinnamon bark, coriander seed, creeping thistle flowers, elder flowers, gorse flowers, heather flowers, hawthorn flowers, juniper berries, lady’s bedstraw flowers, lemon balm, lemon peel, liquorice root, meadow sweet, orange peel, oris root, peppermint leaves, mugwort leaves, red clover flowers, tansy, thyme leaves, water mint leaves, white clover and wood sage leaves.
โบตานิสต์มีแอลกอฮอล์ 46 % ขณะที่ขวดถูกออกแบบให้สะท้อนถึงธรรมชาติและป่าที่อุดมสมบูรณ์บนเกาะเล็ก ๆ ของสก็อตแลนด์ พร้อมตัวเลข 22 อันหมายถึงพืชผักเครื่องเทศสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสม ผสานกับรสชาติที่ดมครั้งแรกได้กลิ่นที่ชัดเจนของคือ ซีทรัส กูสเบอร์รี ดอกไม้นานาชนิด เมนธอลกรุ่น ๆ สาหร่าย กลิ่นอายความสดชื่นของสายลามจากทะเล สไปซี่เฮิร์บสด ๆ มินต์ โรสแมร์รี จบยาวด้วยสไปซี่ และดอกไม้
“บรูชลัดดิช” (Bruichladdich) ก่อตั้งโรงกลั่นในปี 1881 โดยพี่น้องตระกูลฮาร์วีย์ (Harvey brothers) ผลัดเปลี่ยนการครอบครองมาประมาณ 5-6 ครั้ง ท่ามกลางภาวะที่กระท่อนกระแท่นของกิจการ กระทั่งปี 2000 Murray McDavid เข้ามาซื้อกิจการด้วยมูลค่า 6.5 ล้านปอนด์ และเป็นผู้นำความรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ให้กับมาสู่โรงกลั่นอีกครั้ง ภายใต้การนำของพ่อค้าไวน์ Mark Reynier และ Jim McEwan ในฐานะ Master Distiller ยอดฝีมือที่เคยอยู่กับ Bowmore ถึง 37 ปี
ที่สำคัญก็คือ Bruichladdich เป็นโรงกลั่นเดียวที่ใช้ข้าวบาร์เลย์จากฟาร์มเดียวหรือไร่เดียว (single farm) ทั้งหมดในการทำวิสกี้ ซึ่งปลูกและผ่านกระบวนการทำมอลต์ (Malted) ขณะที่โรงกลั่นอื่น ๆ ใช้บาร์เลย์จากหลาย ๆ ฟาร์มมาผสมผสานกัน บางแห่งใช้บาร์เลย์จากต่างประเทศ นอจากนั้นยังเป็นวิสกี้ธรรมชาติ ไม่กรองเย็น และไม่ตกแต่งสี
คนไทยหรืออาจจะเกือบทั่วโลกคุ้นเคยกับซิงเกิ้ล มอลต์จากเกาะไอส์ลา แต่สำหรับจินมีส่วนน้อยที่จะรู้จักหรือเคยชิม “โบตานิสต์” จึงเป็นจินที่ท้าทายมาก
แบรนด์ที่ 3 “แทนกาเรย์ ฟลอ เดอ เซบียา”(Tanqueray Flor de Sevilla) ได้รับความสนใจจากบาร์เทนเดอร์และผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คนอย่างเนืองแน่น แม้จะมีขายในตลาดยุโรปและภูมิภาคอื่นแล้วก็ตาม ขณะที่เมืองไทยมีขายเฉพาะร้านปลอดภาษีเท่านั้น แต่มีโครงการจะขายในตลาดทั่วไปในเร็ว ๆ นี้
เซบียา (Sevilla) ตามภาษาสเปน หรือ เซวิลล์ (Seville) ในภาษาอังกฤษ เป็นเมืองหลักของแคว้นปกครองตนเองอันดาลูซิอา (Andalucia) และจังหวัดเซบียา อยู่ทางใต้เฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อย จากกรุงมาดริดนั่งรถไฟความเร็วสูง (AVE) ประมาณ 2 ชม.ครึ่ง เป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงิน วัฒนธรรม และศิลปะของภาคใต้ของประเทศสเปน
ขณะที่ผู้คนในแวดวงอาหารการกิน เซบียาเป็นเมืองที่สภาพดินฟ้าอากาศเหมาะในการปลูกพืชผักผลไม้ต่าง ๆ ทั้งมะกอก น้ำมันมะกอก พลัม แอปริคอต ฯลฯ แต่ที่อยู่ในระดับแนวหน้าต้องยกให้พืชตระกูลส้ม จนได้ชื่อว่า “เมืองแห่งต้นส้ม” (Ciudad de Naranjos) นอกจากส้มแล้วยังรวมทั้งซีทรัส (Citrus) ด้วย
ปี 1860 ชาร์ล แทนกาเรย์ ผู้ให้กำเนิด Tanqueray เดินทางมาดูสวนส้มหลายแห่งในประเทศสเปน เพื่อแสวงหาวัตถุดิบเพื่อนำไปเป็นส่วนผสมของจิน แน่นอนเขามุ่งตรงไปยังเมือง เซบียา (Sevilla) ซึ่งเป็นเมืองที่เลื่องชื่อในการปลูกส้ม ต้น ๆ ปี 2018 หรือ 140 ปีหลังจากนั้น Tanqueray Gin Sevilla จึงก่อกำเนิดขึ้น ภายใต้ชื่อ “Tanqueray Flor de Sevilla” ก่อนที่จินที่ใช้ส้มเป็นวัตถุดิบ (Orange Gin) จะได้รับความนิยมหลังศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
Tanqueray Flor de Sevilla ที่มีแอลกอฮอล์ 41.3% ได้ชื่อว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว (Complex) ของลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) ของ Tanqueray ที่ใช้โบตานิก 4 ชนิด กับเอกลักษณ์ของส้มเซบียาได้อย่างลงตัว แถมยังสะท้อนรสชาติของเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย บรรจุขวดรูปทรงคลาสสิค ทรี พาร์ต ค็อกเทล เชกเกอร์ (Three Part Cocktail Shaker) สื่อความหมายถึงเหมาะกับการทำค็อกเทล จึงไม่แปลกที่รายงานของ Brands Report 2018 ระบุว่าจิน Tanqueray เป็นที่ชื่นชอบของบาร์เทนเดอร์ทั่วโลก
สีทองอมชมพู ดมครั้งแรกได้กลิ่นจูนิเปอร์แห้ง ๆ ดอกส้ม ที่เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับพร้อมส้มสดหอมหวาน และซีทรัส เบอร์รี เลมอน วานิลลา เอิร์ธตี้ สไปซี เปปเปอร์ เฮิร์บ ออลสไปซ์ ชอกโกแลต บิตเตอร์นิด ๆ รสชาติหนักแน่น จบยาวด้วยเปลือกส้ม ซีทรัส สไปซี และเฮิร์บชุ่ม ๆ คอ
นั่นคือ “3 จินคุณภาพ” สำหรับผ่อนคลายอากาศร้อนในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามขอให้ดื่มด้วยความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่คนไทยกำลังก้าวผ่านวิกฤติ COVID-19 อย่างในเวลานี้