“จอห์นนี วอล์กเกอร์” (Johnnie Walker) ชื่อนี้สำหรับนักดื่มเมืองไทยแทบไม่ต้องอธิบายให้มากความ ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของจอห์นนี วอล์กเกอร์ ซึ่งจอห์นนี วอล์กเกอร์ เข้ามาเป็นสินค้าชั้นนำในตลาดประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1924 นับถึงเวลานี้อีก 3 ปีก็จะครบศตรวรรษ และประเทศไทยยังเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุดของ จอห์นนี วอล์กเกอร์ ในอาเซียน โดยมียอดขายมากกว่าครึ่งในแถบประเทศเอเชียแปซิฟิก
จากการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มชนชั้นกลางในประเทศไทยเพิ่มขึ้นและผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น จึงทำให้ในปี 2012 ประเทศไทยติดอันดับที่ 3 จาก 180 ตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ จอห์นนี วอล์กเกอร์ ทั่วโลก เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา และบราซิลเท่านั้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการจัดงาน “เดอะ เฮอริเทจ ออฟ จอห์นนี วอล์กเกอร์” (The Heritage of Johnnie Walker) เปิดตัวเบลนเดด สก็อตช์วิสกี้ (Blended Scotch Whiskies) รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น (Limited Edition) ที่แสดงถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์อันยาวนานของแบรนด์และความมุ่งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรม เพื่อสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอ
นักดื่มทั่วโลกเริ่มดื่มด่ำกับรสชาติของสก็อตช์วิสกี้ที่ขายดีที่สุดในโลก มาตั้งแต่ปี 1820 หลังจาก จอห์นนี วอล์กเกอร์สูญเสียพ่อไป เขาขายฟาร์มของครอบครัวและหันมาเปิดกิจการร้านของชำใน เมืองคิลมาร์นอค (Kilmarnock) เพื่อขายชาและเครื่องเทศที่นำเข้ามาจากประเทศโลกใหม่ อย่างทวีปอเมริกาและออสเตรเลีย เขามุ่งมั่นในการเฟ้นหาชาที่มีรสชาติ และกลิ่นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ก่อนทดลองผสมชาออกมามากมายหลายเบลนด์ ใครจะรู้ว่าทักษะใหม่นี้เอื้อประโยชน์อย่างมากในอาชีพการผสมวิสกี้ของเขา
เบลนด์ วิสกี้ ของเขารสชาติกลมกล่อมแต่หนักแน่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะที่ช่วงนั้นตามท้องตลาด มีแต่เหล้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และวอล์กเกอร์ก็ขายเบลนด์วิสกี้ เอ็กซ์คลูซีฟนี้ ให้เฉพาะลูกค้าที่ชอบพอ รวมไปถึงเจ้าของกิจการใหญ่ๆ จนกลายเป็นวิสกี้หายากสำหรับลูกค้าคนพิเศษเท่านั้น ไม่นานวิสกี้ชั้นดีนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่เพียงแค่มีจำหน่ายที่ร้านของชำในคิลมาร์นอคเท่านั้น แต่ยังกระจายออกไปทั่วสก็อตแลนด์และอังกฤษ จนในที่สุดก็มีจำหน่ายทั่วทุกมุมโลก
ปี 1920 หรือร้อยปีหลังจากวอล์กเกอร์ เริ่มกิจการครอบครัว วิสกี้ของเขามีจำหน่ายมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก นับเป็นความสำเร็จที่ได้รับการสรุปรวมในหนังสือนำเที่ยว “Around the World” ตีพิมพ์เมื่อปี 1920 กับพาดหัวสั้นๆ ว่า “เราล่องไปทุกแห่งที่เรือสามารถไปได้”
ด้วยความสำเร็จอย่างมากของแบรนด์ในระดับโลก บริษัทได้รับตราพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระเจ้าจอร์จที่ 5 (King George V) ในปี 1934 ซึ่งเป็นเกียรติยศที่ จอห์นนี วอล์กเกอร์ได้รับอย่างต่อเนื่องจากกษัตริย์อังกฤษ ขณะที่ปี 1956 เป็นครั้งแรกที่จอห์นนี วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ทำยอดขายได้หนึ่งล้านลังทั่วโลก
ทั่วโลก ให้การยอมรับว่า จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ คือ สุดยอดของความพยายามในการเบลนด์วิสกี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งรสชาติลุ่มลึกและซับซ้อน จึงมีการทดลองเป็นร้อยๆ ครั้งตลอดเวลา โดยทีมเบลนดิ้งของ จอห์นนี วอล์กเกอร์ นำโดยจิม เบเวอริดจ์ (Jim Beveridge) ในฐานะมาสเตอร์ เบลนเดอร์ (Master Blender) ที่สืบทอดความรู้และความชำนาญด้านการผสมวิสกี้ของ จอห์นนี วอล์กเกอร์ มายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันเขายังเชิดชูความเชื่อของตระกูลวอล์กเกอร์ ในศาสตร์และศิลป์ของการผสมวิสกี้ ด้วยการมุ่งมั่นในการค้นหารสชาติชั้นเลิศ โดยคัดเลือกวิสกี้จากทั่วสก็อตแลนด์ ก่อนจะใช้ประสบการณ์และความชำนาญผสมผสานกันจนได้รสชาติของวิสกี้ จอห์นนี วอล์กเกอร์ อันเป็นเอกลักษณ์
จิม เบเวอริดจ์ ย้ำความมั่นใจว่ารสชาติวิสกี้ตามแบบฉบับของจอนห์นี วอล์กเกอร์ แต่ละเบลนด์ ยังคงความสมดุล ความมีพลัง และมิติของรสชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ดื่มทุกคนในทุก ๆ โอกาส
เบลนด์วิสกี้คลาสสิคเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงให้กับแบรนด์ ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา แต่ยังนำศิลปะเข้ามาร่วมด้วย
รูปชายกำลังก้าวเดิน หรือ “Striding Man” ซึ่งเป็นโลโกของ จอห์นนี วอล์กเกอร์ สร้างขึ้นเมื่อปี 1908 โดย ทอม บราวน์ (Tom Browne) หนึ่งในบรรดานักวาดการ์ตูนที่มีชื่อเสียงที่สุดในอังกฤษในสมัยนั้น เขาวาดลายเส้นบนด้านหลังของเมนูอาหารระหว่างรับประทานอาหารกลางวันกับ ลอร์ด สตีเวนสัน (Lord Stevenson) หนึ่งในผู้บริหารของจอห์นนี วอล์กเกอร์ ก่อนที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันออกแบบสื่อโฆษณาต่าง ๆ ของจอห์นนี วอล์กเกอร์ ด้วยวัฒนธรรมแบบอังกฤษที่ชื่นชอบภาพการ์ตูนล้อเลียน จอห์นนี วอล์กเกอร์ จึงให้นักวาดการ์ตูนล้อเลียนเป็นผู้ออกแบบสื่อโฆษณาให้ในช่วงศตวรรษที่ 20
มาถึงยุคของ เซอร์ เบอร์นาร์ด พาร์ทริดจ์ (Sir Bernard Partridge) นักเขียนการ์ตูนชื่อดังของนิตยสาร “พันช์” (Punch) ได้วาดภาพประกอบโฆษณาให้กับจอห์นนี วอล์กเกอร์ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1
ระหว่างสงครามโลกนั่นเอง ลีโอ เชนีย์ (Leo Cheney) ได้เปลี่ยนรูปชายที่กำลังก้าวเดิน (Striding Man) ให้ดูสมบูรณ์ขึ้น ขณะเดียวกันก็เข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากขึ้น จนกลายมาเป็นโลโกของจอห์นนี วอล์กเกอร์จนถึงทุกวันนี้ ก่อนที่ดอริส ซินไคเซน (Doris Zinkeisen) จะมาทำให้ Striding Man มีรอยยิ้มและแววตาขบขันแบบเสียดสีในโฆษณา ในช่วงปี 1927 -1928
ปี 1939 ไคลฟ์ อัพตัน (Clive Upton) นักวาดการ์ตูนจากหนังสือพิมพ์เดลีย์ เมล์ (Daily Mail) ย่อขนาด Striding Man ให้ลดลงเหลือเท่าขนาดโลโก้เป็นครั้งแรกในแคมเปญโฆษณา “Gentlemen! Your Johnnie Walker”
มรดกทางศิลปะของศิลปินที่แสดงถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน และยังคงพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดังที่ปรากฏในผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดดังนี้
จอห์นนี วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ลิมิเต็ด เอดิชั่น (Johnnie Walker Red Label Limited Edition) และ จอห์นนี วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล ลิมิเต็ด เอดิชั่น (Johnnie Walker Black Label Limited Edition)ในรูปแบบกล่องลวดลายพิเศษ แสดงออกถึงความหลงใหลในศิลปะ เป็นการร่วมมือกันสร้างงานศิลปะ ระหว่าง “จิม เบเวอริดจ์” (Jim Beveridge) มาสเตอร์ เบลนเดอร์ และ “พาเวล โนลเบิร์ท” (Pawel Nolbert) นักวาดภาพประกอบระดับโลกชาวโปแลนด์ ที่เคยสร้างสรรค์งานออกแบบให้กับแบรนด์ระดับโลกอย่าง กูเกิ้ล แอปเปิ้ล อะโดบี้ ไนกี้ โซนี่ โพลารอยด์ เมอร์ซิเดส-เบนซ์ และไมโครซอฟท์มาแล้ว
ทั้งสองผู้เชี่ยวชาญนำเสนอเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความซับซ้อนของรสชาติและสีสันของเซ็ตลิมิเต็ด เอดิชัน ผ่านงานศิลปะ ภาพวาดและดีไซน์บนกล่องวิสกี้ทั้งสอง แสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึก มีพลังและรสชาติ เครื่องเทศของ เรด เลเบิ้ล ตามที่มาสเตอร์เบลนเดอร์ได้สร้างสรรค์มา รวมไปถึงความหนักแน่นและลุ่มลึกของ แบล็ค เลเบิ้ล
จอห์นนี วอล์กเกอร์ ทำการค้นคว้ารสชาติที่เป็นอัตลักษณ์ จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “จอห์นนี วอล์กเกอร์ เบลนเดอร์ส แบทช์ เรด ไรย์ ฟินิช” (Johnnie Walker Blender’s Batch Red Rye Finish) เป็นซีรีส์แรกของการทดลองที่ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้สัมผัสรสชาติของเบลนด์ใหม่ๆ ทีมเบลนเดอร์ใช้ตัวอย่างวิสกี้ 203 ชนิด และ 50 วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์อันสมบูรณ์แบบนี้ เบลนด์ที่ได้คือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด ของรสกลิ่นกรุ่นควันแบบ จอห์นนี วอล์กเกอร์ และความหวานติดกลิ่นวานิลลาแบบวิสกี้อเมริกัน
ด้วยแรงบันดาลใจจากนักสำรวจขั้วโลกที่เดินทางไปยังสุดขอบโลกเพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นที่สุด รังสรรค์มาเป็น “จอห์นนี วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล รีเสิร์ฟ ลิมิเต็ด เอดิชั่น” (Johnnie Walker Gold Label Reserve Limited Edition) บ่งบอกถึงเรื่องราวของ “เพอร์เฟค เสิร์ฟ” ได้งดงามที่สุด ด้วยการเสิร์ฟแบบแช่เย็นบนน้ำแข็ง
สุดท้าย “จอห์นนี วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล เดอะ คาร์มัน ไลน์ 2016” (Johnnie Walker Blue Label The Karman Line 2016) กับรสชาติลุ่มลึกสุดพิเศษที่หาได้ยากยิ่ง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเส้นคาร์มัน เส้นแบ่งระหว่างโลกและอวกาศ เป็นชั้นบรรยากาศที่กระจายคลื่นแสงสีฟ้า จนเกิดเป็นเส้นสว่างชัดเจนกว่าคลื่นแสงอื่นๆ ทำให้เห็นเป็นเส้นขอบฟ้ามีสีฟ้าสุกสว่าง
“จอห์นนี วอล์กเกอร์ ลิมิเต็ด เอดิชั่น” (Johnnie Walker Limited Edition) สะท้อนถึงความเป็นมาอันยาวนาน และความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์รสชาติอย่างไม่หยุดยั้งดังกล่าว ถือเป็นความรู้เพื่อการศึกษา มิใช่เป็นการเชื้อเชิญให้ดื่ม แต่ถ้าจะดื่มต้องดื่มด้วยความรับผิดชอบ !